นครราชสีมา : คําขวัญ เมืองหญิงกล้า ผ้าไหมดี หมี่โคราช ปราสาทหิน ดินด่านเกวียน ต้นไม้ประจำจังหวัด : สาธร

เลือกภาษา

พระผู้ทรงเป็นครูแห่งแผ่นดิน

พระผู้ทรงเป็นครูแห่งแผ่นดิน
พระผู้ทรงเป็นครูแห่งแผ่นดิน

ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี ๒๕๕๖

Long live the King of Thailand

ในหลวงเสด็จทุ่งมะขามหย่อง อยุธยา

การแสดงชุดหลั่งเลือดทาบทา ปกปักษ์รักษาแผ่นดิน ณ ทุ่งมะขามหย่อง

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ประโยชน์ของผักผลไม้

"ผักคะน้า" ซึ่งเป็นผักหาง่ายในท้องตลาด ที่สำคัญคะน้าเป็นผักที่อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินอี แคโรทีนอยด์ และโฟเลต นอกจากนี้ยังมีสาร " ลูทีน " ซึ่งเป็นสารสำคัญที่พบในเลนส์ตา จากงานวิจัยพบว่า การกินอาหารหรือพืชผักที่มีสารลูทีนสูง เช่น คะน้า จะช่วยลดโอกาสเสี่ยงของการเกิดโรคต้อกระจกลงได้ถึง 20% เมื่อเทียบกับคนที่ไม่กิน 

นอกจากนี้การกินคะน้าเป็นประจำ ยังช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร ปอด และเต้านมอีกด้วย

อ้างอิงเนื้อหาจาก http://www.vcharkarn.com/vblog/44802


อ้างอิงภาพจาก http://variety.teenee.com/foodforbrain/3523.html
ผมได้ไปสัมมนาเรื่องสุภาพ คุณหมอต้น ได้แนะนำว่ารับประทานผักคะน้า
วันละ 2 กรัม ปลาทู 2 ตัว มะเขื่อเทศราชินี 20 ผล ทำให้สุขภาพดีครับ
ก็ขอให้ทุกท่านดูแลสุขภาพด้วยนะครับ

นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเตือนคนไทยเผชิญกับปัญหาสุขภาพที่มาจากพฤติกรรมการกินการอยู่มากขึ้น มีข้อมูลการวิจัยจากผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศบ่งชี้ว่า ปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับสารที่เรียกว่าอนุมูลอิสระ ที่ทำปฏิกิริยาโยงใยในร่างกายได้มากมาย ก่อให้เกิดการอักเสบ การทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด โดยเฉพาะโรคมะเร็งและโรคหัวใจ อนุมูลอิสระนี้มาจากภายนอกและภายในร่างกาย ได้แก่มลพิษในอากาศ จากควันบุหรี่ แสงแดด รังสีแกมมา คลื่นความร้อน ส่วนที่มาจากภายในร่างกายเกิดจากกระบวนการเผาผลาญของออกซิเจนภายในเซลล์ หรือเกิดจากย่อยทำลายเชื้อแบคทีเรียของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ก็ทำให้เกิดอนุมูลอิสระได้
การวิจัยดังกล่าวพบว่าสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ วิตามินอี วิตามินซี และเบต้าแคโรทีน สารทั้ง 3 ตัวนี้สามารถกำจัดอนุมูลอิสระได้ โดยวิตามินซีซึ่งละลายน้ำได้ จะทำหน้าที่จับอนุมูลอิสระในเซลล์ที่เป็นของเหลว ป้องกันการถูกอนุมูลอิสระทำลาย ส่วนวิตามินอี เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน จะช่วยยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระได้ ส่วนวิตามินเอ ซึ่งเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ที่อยู่ในรูปของเบต้าแคโรทีน หรือแคโรทีนอยด์ ซึ่งมีในอาหารธรรมชาติประมาณ 600 ชนิด ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ
สารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ มีมากในผักผลไม้หลายชนิด โดยเฉพาะที่มีสีเขียว แดง แสด และเหลือง เช่น ผักใบสีเขียวเข้ม ได้แก่ ผักขม ผักคะน้า ผักตำลึง ผักบุ้ง ผักผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น ฟักทอง แครอต มะเขือเทศ มะม่วงสุก มะละกอสุก เป็นต้น วิตามินอี เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำมัน และมีมากในน้ำมันพืชทั่วไป เช่น น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกคำฝอย เป็นต้น ในผักและผลไม้มีวิตามินอีค่อนข้างน้อย ส่วนวิตามินซีมีมากในผักและผลไม้สดทั่วไป
ผลไม้ที่พบสารเบต้าแคโรทีนมากที่สุด 10 อันดับแรก คือ มะม่วงน้ำดอกไม้สุกมี 873 ไมโครกรัม รองลงมาได้แก่ มะเขือเทศราชินีมี 639 ไมโครกรัม มะละกอสุกมี 532 ไมโครกรัม แคนตาลูปเหลืองมี 217 ไมโครกรัม มะปรางหวานมี 230 ไมโครกรัม มะยงชิดมี 207 ไมโครกรัม สับปะรดภูเก็ตมี 150 ไมโครกรัม แตงโมมี 122 ไมโครกรัม ส้มสายน้ำผึ้งมี 101 ไมโครกรัม และลูกพลับมี 93 ไมโครกรัม
ผลไม้ที่มีวิตามินอีสูงสุด 10 อันดับแรก ได้แก่ ขนุนหนังมี 2.38 มิลลิกรัม มะขามเทศมี 2.29 มิลลิกรัม มะม่วงเขียวเสวยดิบมี 1.52 มิลลิกรัม มะเขือเทศราชินีมี 1.34 มิลลิกรัม มะม่วงเขียวเสวยสุกมี 1.23 มิลลิกรัม มะม่วงน้ำดอกไม้สุกมี 1.1 มิลลิกรัม มะม่วงยายกล่ำสุกมี 0.97 มิลลิกรัม กล้วยไข่มี 0.47 มิลลิกรัม แก้วมังกรเนื้อสีชมพูมี 0.59 มิลลิกรัม และสตรอเบอรี่มี 0.54 มิลลิกรัม
ผลไม้ที่มีวิตามินซีมากที่สุด 10 อันดับแรก คือ ฝรั่งกลมสาลี่มี 187 มิลลิกรัม ฝรั่งไร้เมล็ดมี 151 มิลลิกรัม มะขามป้อมมี 111 มิลลิกรัม มะขามเทศมี 97 มิลลิกรัม เงาะโรงเรียนมี 76 มิลลิกรัม ลูกพลับมี 73 มิลลิกรัม สตรอเบอรี่มี 66 มิลลิกรัม มะละกอแขกดำสุกมี 55 มิลลิกรัม พุทราแอปเปิ้ลมี 47 มิลลิกรัม และส้มโอขาวแตงกวามี 48 มิลลิกรัม
ในกลุ่มของกล้วยต่างๆ 24 สายพันธุ์ มีทั้งเนื้อสีขาว สีเหลือง สีเหลืองอมแสด จากการศึกษาพบว่า กล้วยไข่พม่ามีสารเบต้าแคโรทีนสูงสุด คือ 528 ไมโครกรัม รองลงมาคือกล้วยงาช้างมี 520 ไมโครกรัม กล้วยไข่โนนสูงมี 397 ไมโครกรัม กล้วยนางพญามี 393 ไมโครกรัม กล้วยไข่มี 271 ไมโครกรัม และกล้วยหักมุกนวลมี 270 ไมโครกรัม
ใน 1 วันคนเราควรบริโภคผลไม้ให้ได้ วันละ 4 ส่วน โดย 1 ส่วนของผลไม้ หากเป็นผลไม้ขนาดเล็ก เช่น องุ่น ลิ้นจี่ ลำไย เท่ากับ 6-8 ผล, ผลไม้ขนาดกลาง เช่น ส้ม ชมพู่ กล้วย น้อยหน่า เท่ากับ 1-2 ผล ส่วนผลไม้ขนาดใหญ่เช่น แตงโม สับปะรด มะละกอ จะเท่ากับ 6-8 ชิ้นพอคำ อย่างไรก็ดีในกลุ่มที่ต้องคุมปริมาณน้ำตาล โดยเฉพาะผู้ที่เป็นเบาหวาน อาจต้องเลือกผลไม้ที่รสไม่หวาน ในอเมริกาได้แนะนำให้ผู้ชายบริโภคแคโรทีนอยด์วันละ 6 มิลลิกรัม ในคนไทยแนะนำให้บริโภควิตามินอีวันละ 6-15 มิลลิกรัม และวิตามินซีวันละ 40-90 มิลลิกรัม
อ้างอิงจาก http://www.skh.moph.go.th/webboard/index.php?topic=94.0