นครราชสีมา : คําขวัญ เมืองหญิงกล้า ผ้าไหมดี หมี่โคราช ปราสาทหิน ดินด่านเกวียน ต้นไม้ประจำจังหวัด : สาธร

เลือกภาษา

พระผู้ทรงเป็นครูแห่งแผ่นดิน

พระผู้ทรงเป็นครูแห่งแผ่นดิน
พระผู้ทรงเป็นครูแห่งแผ่นดิน

ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี ๒๕๕๖

Long live the King of Thailand

ในหลวงเสด็จทุ่งมะขามหย่อง อยุธยา

การแสดงชุดหลั่งเลือดทาบทา ปกปักษ์รักษาแผ่นดิน ณ ทุ่งมะขามหย่อง

วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

งานศิลปหัตถกรรมนักเรียน ครั้งที่ 62 ปีการศึกษา 2555

งานศิลปหัตถกรรมนักเรียน ครั้งที่ 62 ปีการศึกษา 2555 งานศิลปหัตถกรรมนักเรียนระดับภาคครบ ทุกภาคแล้ว ทางคณะทำงานจะตัดรายชื่อนักเรียนและครูที่มีผลการแข่งขัน อันดับที่ 1-3 เข้าโปรแกรมระดับชาติ โดยอัตโนมัติ โดยให้แต่ละโรงเรียนที่เป็นตัวแทน ตรวจสอบรายชื่อได้ ตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2555 เป็นต้นไปในเว็บนี้ รายละเอียดจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งครับ โดยจะอนุญาตให้เปลี่ยนตัวได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด username password สามารถนำมาใช้ในระดับชาติเพื่อการตรวจสอบและพิมพ์บัตรต่อไป กำหนดการแข่งขันงานศิลปหัตถกรรมนักเรียน ระดับชาติ เมืองทองธานี วันที่ 13-15 กุมภาพันธ์ 2556 นี้ หลังจากการแข่งขันครบทั้ง 4 ภาค ในวันที่ 21 ธันวาคม 2555 ที่จ.ภูเก็ตแล้ว จะมีการประกาศผลนักเรียนที่เข้าสู่เวทีระดับชาติ ประมาณสิ้นเดือนธันวาคม 2555 ข่าวคืบหน้า จะแจ้งให้ทราบต่อไป เกณฑ์การตัดสิน ระดับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา เกณฑ์การประเมินและคัดเลือกเป็นบุคคล/หน่วยงาน/สถานศึกษายอดเยี่ยมระดับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มีเกณฑ์ตัดสิน ดังนี้ 1. มีผลการประเมินคุณสมบัติเบื้องต้นผ่านทุกรายการ ตามที่คณะกรรมการประเมินกำหนด 2. มีผลการประเมินเฉพาะด้านในระดับดีเยี่ยมของตัวชี้วัดที่ประเมินร้อยละ 80 ขึ้นไป ระดับภาค เกณฑ์การประเมินและคัดเลือกเป็นบุคคล/หน่วยงาน/สถานศึกษายอดเยี่ยมระดับภาค มีเกณฑ์ตัดสิน ดังนี้ 1. มีผลการประเมินคุณภาพเบื้องต้นผ่านทุกรายการ ตามที่คณะกรรมการประเมินกำหนด 2. มีผลการประเมินเฉพาะด้านในระดับดีเยี่ยมของตัวชี้วัดที่ประเมินร้อยละ 85 ขึ้นไป อ้างอิงจาก http://art62.sillapa.net/

วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่ 27 ตุลาคม พ.ศ.2555

ประวัติส่วนตัว l คู่สมรส นางพนิดา เทพกาญจนา (วัธนเวคิน) ตำแหน่งปัจจุบัน l รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่ 27 ตุลาคม พ.ศ.2555 ประวัติการศึกษา l นิติศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยม) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ l Master of Comparative Law (Foreign Practice), George Washington University สหรัฐอเมริกา l เนติบัณฑิตไทย สำนักศึกษาอบรมกฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา l Master of Comparative Law (American Practice), George Washington University สหรัฐอเมริกา ประวัติการรับราชการ l ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลประจำกระทรวง l รอง​เลขาธิการส่ง​เสริมงานตุลา​การ l ผู้พิพากษาศาลจังหวัดสกลนคร ประวัติการทำงาน ทางการเมือง l รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม l รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน l รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี l สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร l รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย l สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ จังหวัดสมุทรสาคร (พ.ศ.2539 - พ.ศ.2540) l รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (พ.ศ.2538 - พ.ศ.2539) เครื่องราชอิสริยาภรณ์ l มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก l มหาวชิรมงกุฎ l จตุตถดิเรกคุณาภร อ้างอิงจาก http://www.moe.go.th/websm/minister/phongthep.htm

ทักษะแห่งอนาคตใหม่: การศึกษาเพื่อศตวรรษที่ 21

ทักษะแห่งอนาคตใหม่: การศึกษาเพื่อศตวรรษที่ 21
ในฐานะผู้คลั่งไคล้หนังสือ “ทักษะแห่งอนาคตใหม่: การศึกษาเพื่อศตวรรษที่ 21” เล่มนี้ สื่อสาระสำคัญยิ่งของการศึกษายุคใหม่ ที่แตกต่างไปจากแนวคิดเดิมๆ โดยสิ้นเชิง นักการศึกษา ครู พ่อแม่ผู้ปกครอง นักเรียน และผู้สนใจคุณภาพของการศึกษาทุกคนควรได้อ่านหนังสือเล่มนี้ เพื่อจะได้ช่วยกันขับเคลื่อนการศึกษาไทยออกไปจากความเชื่อหรือวิธีคิดเก่าๆ ให้การเรียนรู้ในสังคมไทยบรรลุการเรียนรู้ทักษะสำหรับมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 ให้จงได้ ศ.นพ. วิจารณ์ พานิช ประธานกรรมการมูลนิธิสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.) และรองประธานกรรมการมูลนิธิสยามกัมมาจล การปฏิรูปการศึกษาที่แท้ควรปฏิรูปกระบวนทัศน์ด้วย ภายใต้กระบวนทัศน์ใหม่นี้ “กระบวนการเรียนรู้สำคัญกว่าความรู้” และ “ครูมิใช่ผู้มอบความรู้” แต่เป็น “ผู้ออกแบบกระบวนการเรียนรู้ไปพร้อมกับเด็กและเยาวชน” เป้าหมายของการเรียนรู้มิใช่ตัวความรู้อีกต่อไป เพราะตัวความรู้นั้นมีมายมายมหาศาลเกินกว่าที่จะมอบให้นักเรียนแต่ละชั้นปีได้ อีกทั้งนักเรียนในศตวรรษใหม่มีหนทางค้นหาความรู้ด้วยตนเองจากทุกหนแห่งทั้งในสิ่งแวดล้อมและอินเทอร์เน็ต หากการศึกษาไทยยังย่ำอยู่กับกระบวนทัศน์เดิม คือมอบความรู้เป็นรายวิชาก็จะไม่ทันสถานการณ์โลก ที่ควรทำคือมีกระบวนทัศน์ใหม่ที่จะพัฒนาเด็กและเยาวชนให้เป็นผู้ใฝ่เรียนรู้ตลอดชีวิต เด็กและเยาวชนจะเรียนรู้อะไรบ้างขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละคน แต่ที่ทุกคนควรมีคือความสามารถในการเรียนรู้ตลอดเวลา ตลอดชีวิตและพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เลขาธิการมูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ อ้างอิงจาก http://openworlds.in.th/books/21st-century-skills/

วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เห็นชอบในหลักการ "การให้ครูมีและเลื่อนวิทยฐานะ ด้วยการประเมินสมรรถนะ (TPK Model)"

เห็นชอบในหลักการ "การให้ครูมีและเลื่อนวิทยฐานะ ด้วยการประเมินสมรรถนะ (TPK Model)" ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้เสนอต่อที่ประชุม โดยให้ ก.ค.ศ. ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือ สพฐ. สอศ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาจัดทำรายละเอียดหลักเกณฑ์ให้เหมาะสมสำหรับครูสังกัดต่างๆ และให้เสนอที่ประชุมพิจารณาในครั้งต่อไป เลขาธิการ กพฐ.กล่าวว่า การประเมินแบบใหม่จะประกอบด้วยองค์ประกอบ ๒ ส่วนที่สำคัญ คือ ๑) ประเมินสมรรถนะครู ทั้งสมรรถนะด้านการสอน และสมรรถนะทางวิชาการ เพราะสองส่วนถือเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินคุณภาพของครู ซึ่งการพัฒนาครูเพื่อนำไปสู่การเลื่อนวิทยฐานะแบบใหม่ มีองค์ประกอบที่สำคัญ ๓ ส่วนที่จะช่วยให้เกิดพลังในการพัฒนาครูเป็นอย่างมาก คือ Teacher Training Institute หรือสถาบันการผลิตและพัฒนาครู เช่น คณะศึกษาศาสตร์/ครุศาสตร์แห่งประเทศไทย สถาบันทางวิชาการ ๘ กลุ่มสาระ หรือแม้แต่หน่วยงานสอนภาษา เช่น AUA British Council สถาบันขงจื่อ ฯลฯ ก็จะเข้ามามีบทบาทในการผลิตและพัฒนาครูอย่างมีคุณภาพมากขึ้น Certifying Body หรือสถาบันรับรองสมรรถนะครู เช่น สสวท. สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยฯ จะเป็นหน่วยงานสำคัญในการรับรองสมรรถนะครูผู้สอนในสาขาวิชาต่างๆ Awarding Body หรือสำนักงาน ก.ค.ศ. จะเป็นหน่วยงานในการประเมินสมรรถนะครู ๒) ประเมินผลที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน หรือผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน โดยดูจากคะแนนความก้าวหน้าของผลการสอบ O-Net หรือ National Test เช่น อาจพิจารณาจากคะแนน Percentile ที่ 50 เป็นจุดตัด (เปอร์เซ็นไทล์ เป็นคะแนนที่บ่งบอกให้ทราบว่าผู้เรียนคนนั้นๆ อยู่ในระดับที่เท่าใดเมื่อเทียบจาก ๑๐๐ คน) หากกลุ่มโรงเรียนใดได้คะแนน Green Zone เช่นอาจจะมากกว่า ๗๐ ขึ้นไป ครูควรได้รับการประเมินวิทยฐานะชำนาญการพิเศษหรือเชี่ยวชาญได้ โดยอาจจะจัดทำเพียงสาระนิพนธ์ประมาณ ๕๐ หน้า ซึ่งบ่งบอกถึงวิธีการทำให้ Percentile นักเรียนสูงขึ้น ในขณะเดี่ยวกันกลุ่มที่ได้ Percentile ต่ำกว่า ๕๐ ถือเป็นกลุ่ม Red Zone ที่ต้องได้รับการดูแลและพัฒนา ตัวอย่างหนึ่งที่สำคัญในการพิจารณา เช่น ระดับการพิจารณาสมรรถนะทางวิชาการ (Academic Competency) อาจจะพิจารณาให้ครูเลื่อนเป็นชำนาญการโดยดูจากค่า Percentile ที่ ๕๐, ชำนาญการพิเศษ ได้ค่า Percentile ที่ ๖๐, เชี่ยวชาญ ได้ค่า Percentile ที่ ๗๐ เป็นต้น อ้างอิงจาก http://www.moe.go.th/websm/2012/sep/263.html

วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555

การสมัครเข้าร่วมประชุมนานาชาติและการประชุมเชิงปฏิบัติการและสัมมนากลุ่มย่อย

มหกรรมทางการศึกษาเพื่อพัฒนาวิชาชีพครู ระหว่างวันที่ 10-12 ตุลาคม 2555 ลงทะเบียนสมัครเข้าประชุมสัมมนาได้แล้ว มีเอกสาร DVD ให้ชมในปีที่ผ่านมา ดีมาก
ผู้บริหาร ครูและบุคลากรทางการศึกษา ควรไปอย่างยิ่ง เชิมชมรายการ Educa หรือ งานมหกรรมทางการศึกษาเพื่อพัฒนาวิชาชีพครู ครั้งที่ 4 ภายใต้แนวคิด Reform! Reform! Reform! การปฏิรูปอนาคตการศึกษาจะประสบผลสำเร็จอย่างยั่งยืนได้อย่างไร ร่วมรับชม รายการต่างๆ กว่า 50 รายการ โดยวิทยากรชั้นนำระดับโลก นักการศึกษา
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.educathai.com/

วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ประชุม ก.ค.ศ.ครั้งที่ ๘/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕

ประชุม ก.ค.ศ.ครั้งที่ ๘/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ศาสตราจารย์ ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ ๘/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ โดยมีสาระสำคัญสรุปดังนี้ เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาฯ รอง/ผอ.สถานศึกษา รมว.ศธ.กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถานศึกษา และผู้อำนวยการสถานศึกษา ในพื้นที่ปกติและในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ฯ ซึ่งได้ยึดหลักการตามแนวทางการสรรหาที่ ก.ค.ศ.กำหนดไว้เดิมตาม ว๗ และ ว๘ โดยปรับรายละเอียดเพิ่มเติมตามนโยบายของ รมว.ศธ.ในประเด็นต่างๆ ดังนี้ ๑) ให้ผู้ผ่านเกณฑ์การตัดสินไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๖๐ ขึ้นบัญชีไว้ทุกคน มีอายุการขึ้นบัญชีไม่เกิน ๒ ปี นับจากวันที่ประกาศขึ้นบัญชี แยกเป็น ๒ กลุ่มคือ กลุ่มทั่วไปและกลุ่มประสบการณ์ ๒) กำหนดให้การบรรจุและแต่งตั้ง กรณีบัญชีกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหมดบัญชีก่อน หรือไม่มีผู้สมัคร หรือไม่มีผู้ขึ้นบัญชี ก็ให้ใช้บัญชีกลุ่มที่เหลือในการบรรจุและแต่งตั้งได้ ๓) การบรรจุและแต่งตั้งครั้งแรก หากมีเหตุสุดวิสัยไม่สามารถมารายงานตัวได้ ให้คงขึ้นบัญชีไว้ในลำดับเดิมได้ และกรณีไม่มีสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาที่ระบุไว้ในใบสมัคร หากไม่สมัครใจหรือขอสละสิทธิ์การบรรจุและแต่งตั้ง ให้คงการขึ้นบัญชีไว้ในลำดับเดิม ทั้งบัญชีรวมสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และบัญชีเขตพื้นที่การศึกษา ๔) การบรรจุและแต่งตั้งครั้งต่อไปจากบัญชีรวม สพฐ. เมื่อ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษาได้ใช้บัญชีเขตพื้นที่การศึกษาทุกกลุ่มหมดแล้ว การขอใช้บัญชีรวมของ สพฐ.กลุ่มใด ให้พิจารณาจากการสิ้นสุดการใช้บัญชีว่าสิ้นสุดที่กลุ่มใด ให้ไปเริ่มใช้บัญชีของอีกกลุ่มสลับกันไป ๕) (ร่าง) หลักเกณฑ์ดังกล่าว ให้ใช้สำหรับการสรรหาผู้บริหารสถานศึกษาครั้งต่อไป รมว.ศธ.กล่าวเพิ่มเติมถึงข้อเรียกร้องของ "ตัวแทนกลุ่มผู้สอบผ่านร้อยละ ๖๐" ซึ่งได้เดินทางมายื่นข้อเสนอต่อคณะกรรมการ ก.ค.ศ.ก่อนการประชุมในครั้งนี้ ๒ ประเด็น คือ ๑) ขอสิทธิ์การบรรจุผู้สอบผ่านร้อยละ ๖๐ ให้ได้รับการประกาศขึ้นบัญชีเพื่อรอการบรรจุและแต่งตั้งปีงบประมาณ ๒๕๕๕-๒๕๕๖ และ ๒) ขอสิทธิ์ผู้สอบผ่านร้อยละ ๖๐ เพื่อเข้าอบรมแต่งตั้งและพัฒนาก่อนแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งฯ ว่า แม้ที่ประชุมจะเห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์ดังกล่าว แต่ให้ใช้สำหรับการสรรหาในครั้งต่อไป หากเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ซึ่งอยู่ในระหว่างกระบวนการสรรหาครั้งนี้ อาจจะส่งผลให้เกิดการฟ้องร้องต่อศาลปกครอง ซึ่งจะกระทบต่อการสรรหาทั้งระบบได้ เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาฯ รอง ผอ.สช.จังหวัด/ผอ.สช.จังหวัด/ผอ.สช.อำเภอ ในเขตพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ รมว.ศธ.กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองผู้อำนวยการสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัด ผู้อำนวยการสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัด และผู้อำนวยการสำนักงานการศึกษาเอกชนอำเภอ ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล และสงขลา ทั้ง ๓ หลักเกณฑ์ ซึ่งมีสาระสำคัญคือ ให้เพิ่มกรณีผู้มีสิทธิ์เข้ารับการสรรหาทั้ง ๓ เกณฑ์ โดยให้นับระยะเวลาทวีคูณในการคำนวณระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งได้ พร้อมทั้งให้ อ.ก.ค.ศ.สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการดำเนินการออกข้อสอบ ตรวจกระดาษคำตอบ และประมวลผลการสอบ แทนสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เพราะสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ มี อ.ก.ค.ศ.ที่ ก.ค.ศ.ตั้งในส่วนราชการเพียงคณะเดียว การดำเนินการจึงควรให้ อ.ก.ค.ศ.สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งต่างจาก อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งมีหลายคณะ ส่วนราชการจึงต้องดำเนินการเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เห็นชอบร่างระเบียบ ก.ค.ศ.เงินเพิ่มตำแหน่งเหตุพิเศษของครูการศึกษาพิเศษและครูการศึกษาพิเศษ กรณีเรียนร่วม ที่ประชุมเห็นชอบร่างระเบียบ ก.ค.ศ.ว่าด้วยเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ปฏิบัติหน้าที่ครูการศึกษาพิเศษและครูการศึกษาพิเศษ กรณีเรียนร่วม พ.ศ. .... โดยให้ปรับเพิ่มจากเดือนละ ๒,๐๐๐ บาท เป็น ๒,๕๐๐ บาท และเสนอกำหนดเงินเพิ่มพิเศษสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษของครูสอนหลายชั้นเรียนในอัตรา ๒,๕๐๐ บาทด้วย นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาเกณฑ์การย้ายผู้บริหารสถานศึกษา สังกัด สพฐ. แต่ได้ขอให้ สพฐ.นำกลับไปพิจารณาอีกครั้งหนึ่งด้วยความละเอียดรอบคอบในประเด็นต่างๆ เช่น ขนาดของสถานศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา เป็นต้น ส่วนเกณฑ์การย้ายซึ่งได้เปิดให้ยื่นขอย้ายระหว่างวันที่ ๑-๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๕ ให้ใช้เกณฑ์การย้ายเดิม อ้างอิงจาก http://www.moe.go.th/websm/2012/jul/207.html

วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

การย้ายผู้บริหารสถานศึกษาที่มีวัตถุประสงค์พิเศษและสถานศึกษาคุณภาพพิเศษ

การย้ายผู้บริหารสถานศึกษาที่มีวัตถุประสงค์พิเศษและสถานศึกษาคุณภาพพิเศษ เพื่อให้การดำเนินการย้ายผู้บริหารสถานศึกษาเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ถูกต้อง ตามหลักเกณฑ์ ก.ค.ศ. จึงประกาศรายชื่อสถานศึกษาที่มีวัตถุประสงค์พิเศษและสถานศึกษาคุณภาพพิเศษ สพม.31 1.โรงเรียนบุญวัฒนา 2.โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย 3.โรงเรียนสุรนารีวิทยารายละเอียดฯลฯ สามารถเข้าดูได้ที่ http://202.143.174.11/personnel/news2011/upfiles/428.pdf

วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ผัวเมียเฮ -ศาลสั่ง แยกจ่ายภาษีได้!

ผัวเมียเฮ -ศาลสั่ง แยกจ่ายภาษีได้! "ผัว-เมีย"เฮ ลั่น ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้สามี-ภรรยา แยกจ่ายภาษีเงินได้เหตุประมวลรัษฎากรขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 30 ทั้งเรื่องความเสมอภาค-เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ชี้ให้มีผลในปี "56 รมช.คลังเผยเตรียมชง ครม.พิจารณาทันที หวังช่วยลดภาระคู่สามีภรรยา ด้านอธิบดีกรมสรรพากรชี้ควรแก้ไขประมวลรัษฎากร เหตุใช้มาตั้งแต่ 2481 แล้วบางมาตราไม่เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 4 ก.ค. ที่สำนัก งานศาลรัฐธรรมนูญ นายพิมล ธรรมพิทักษ์พงษ์ หัวหน้าคณะโฆษกศาลรัฐธรรมนูญ แถลงภายหลังการประชุมตุลาการศาลรัฐ ธรรมนูญว่า คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพิจารณากรณีที่ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าประมวลรัษฎากร มาตรา 40 (2) (3) (4) (5) (6) (7) และ (8) ประกอบมาตรา 57 ตรี และมาตรา 57 เบญจ มีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรม นูญ พ.ศ.2550 มาตรา 43 ประกอบมาตรา 29 และมาตรา 30 หรือไม่ นายพิมลกล่าวต่อว่า โดยศาลรัฐธรรม นูญวินิจฉัยแล้วเห็นว่า ประมวลรัษฎากร มาตรา 57 ตรี และมาตรา 57 เบญจ ที่กำหนดให้การเก็บภาษีเงินได้จากสามีและภริยา ที่อยู่ร่วมกันตลอดปีภาษีให้ถือเอาเงินได้ทั้งปีของภริยาเป็นเงินได้ของสามี และให้สามีมีหน้าที่รับผิดชอบในการยื่นรายการและเสียภาษี พร้อมกำหนดให้ภริยาที่มีเงินได้ตามมาตรา 40 (1) ไม่ว่าจะมีเงินได้ประเภทอื่นด้วยหรือไม่ สามารถแยกยื่นรายการเสียภาษีออกจากสามี เฉพาะส่วนที่เป็นเงินได้ โดยไม่ถือว่าเป็นเงินได้ของสามี ตามมาตรา 57 ตรีนั้น ถือว่าเป็นบทบัญญัติที่ทำให้สามีภริยาที่มีเงินได้ตามมาตรา 40 (2) (3) (4) (5) (6) (7) และ (8) ต้องเสียภาษีสูงกว่าสามีภริยา ที่มีเงินได้ตามมาตรา 40 (1) และยังทำให้ผู้หญิงที่มีสามี และมีเงินได้ตามมาตรา 40 (2) (3) (4) (5) (6) (7) และ (8) ต้องเสียภาษีสูงกว่าผู้หญิงที่โสด อีกทั้งยังไม่เป็นการมุ่งสร้างความมั่นคงของสถาบันครอบครัว จึงเป็นปัญหาที่ทำให้ชายหญิงไม่นิยมสมรสกัน เพราะต้องรับภาระอัตราภาษีที่สูงขึ้น อีกทั้งผู้ที่สมรสกันแล้วก็ต้องวางแผนการเสียภาษี โดยบางรายถึงขั้นจดทะเบียนหย่า เพื่อที่จะได้ไม่ต้องนำเงินได้ของทั้งสามีและภริยามารวมกันในการเสียภาษีที่ สูงขึ้น นายพิมลกล่าวอีกว่า ดังนั้น ศาลรัฐธรรม นูญจึงเห็นว่าบทบัญญัติทั้ง 2 มาตรา ขัดต่อหลักความเสมอภาคและเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 30 เนื่องจากมีความแตกต่างในเรื่องของสถานะบุคคล อีกทั้งไม่ได้เป็นมาตราที่รัฐกำหนดขึ้น เพื่อขจัดอุปสรรคหรือส่งเสริมให้สามารถ ใช้สิทธิเสรีภาพได้เช่นเดียวกับบุคคลอื่น อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้กรมสรรพากรก็ต้องไปดำเนินการในการจัดเก็บภาษีเงินได้ใหม่ เพื่อให้เป็นตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ โดยคาดว่าสามีและภริยาจะสามารถแยกจ่ายภาษีเงินได้ในปี 2556 นายทนุ ศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลัง ในฐานะกำกับดูแลกรมสรรพากร กล่าวว่า ถึงแม้ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่มีคำวินิฉัยเรื่องนี้ออกมา รัฐบาลเตรียมเสนอแก้ไขกฎหมายภาษีหรือประมวลรัษฎากรอยู่แล้ว เพราะเห็นว่าการรวมยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ระหว่างสามีและภรรยานั้นทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกัน การแยกเสียภาษีจะช่วยลดภาระของประชาชน นายทนุศักดิ์กล่าวอีกว่า ในเรื่องการแยกเสียภาษีระหว่างสามีและภรรยานั้น กระ ทรวงการคลังเตรียมจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้พิจารณาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2555 เพื่อให้ทันการต่อปีภาษี 2556 แต่ด้วยช่วงต้นปีประเทศไทยเพิ่งฟื้นตัวจากน้ำท่วม จึงชะลอการเสนอไปยังครม. เพราะกลัวว่าจะกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล แต่ล่าสุดจากการหารือระหว่างนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รมว.คลังและรองนายกรัฐมนตรี ผู้บริหารกรมสรรพากร มีข้อสรุปร่วมกันแล้วว่าให้เสนอเรื่องดังกล่าวต่อครม. เพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาแก้กฎหมายในสภา ส่วนจะสามารถประกาศใช้ทันปีภาษี 2556 หรือไม่นั้น ต้องอยู่ที่กระบวนการพิจารณาของแต่ละฝ่ายว่าจะเร็วแค่ไหน "รัฐบาล กำลังแก้กฎหมายในเรื่องการเสียภาษีระหว่างสามีและภรรยาอยู่แล้ว เพื่อช่วยลดรายจ่ายทางด้านภาษีของสามีและภรรยา เพราะปัจจุบันประเทศไทยเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในแบบอัตราก้าวหน้า หากมีรายได้มากต้องจ่ายภาษีมาก ดังนั้น การรวมยื่นภาษีจึงทำให้ฐานรายได้ของสามีและภรรยาสูง การเสียภาษีจึงสูงกว่าคนโสด" นายทนุศักดิ์กล่าว ด้านนายสาธิต รังคศิริ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า กรมเสนอเรื่องนี้ไปยังกระทรวงการคลังแล้ว กระบวนการจากกรมเรื่องการแยกยื่นภาษีระหว่างสามีและภริยานั้นจบแล้ว ดังนั้นคงอยู่ที่ฝ่ายการเมืองว่าจะนำเสนอครม.เมื่อใด โดยกรมเห็นว่าต้องแก้ไข เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ที่ผู้หญิงมีความเท่าเทียมกันกับผู้ชายและสามารถทำงานนอกบ้านหารายได้เป็น ของตัวเอง ซึ่งประมวลรัษฎากรใช้มาตั้งแต่ปี 2481 ดังนั้น บางมาตราอาจจะไม่เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน ที่ผ่านมากรมเสนอแก้ไขไปแล้วหลายเรื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นไปในสังคมปัจจุบัน นายสาธิตกล่าวอีกว่า ปัจจุบันสามีและภรรยาสามารถแยกยื่นภาษีเฉพาะที่เป็นรายได้จากเงินเดือน แต่ถ้าภรรยามีรายได้เสริมอื่นๆ อาทิ ภรรยาเป็นข้าราชการ และขายประกันเป็นรายได้เสริม จะถือว่าเงินรายได้จากการขายประกันนั้นเป็นของสามีต้องมารวมเสียภาษีกับสามี ส่วนรายได้จากเงินเดือนสามารถแยกยื่นได้ รายงานข่าวจากกระทรวงการ คลังแจ้งว่า ก่อนหน้านี้นายกิตติรัตน์ไม่เห็นด้วยกับการแก้กฎหมายให้แยกยื่นภาษีระหว่าง สามีและภรรยา เนื่องจากจะทำให้กรมสรรพากรต้องสูญเสียรายได้ประมาณปีละ 3,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หากมีเงินได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาทต่อปี จะได้รับการยกเว้นภาษี เงินได้สุทธิอยู่ระหว่าง 150,001-500,000 บาทต่อปี เสียภาษีอัตรา 10 เปอร์เซ็นต์ เงินได้สุทธิอยู่ระหว่าง 500,001-1,000,000 บาทต่อปี เสียภาษีอัตรา 20 เปอร์เซ็นต์ เงินได้สุทธิอยู่ระหว่าง 1,000,001-4,000,000 บาทต่อปี เสียภาษีอัตรา 30 เปอร์เซ็นต์ และเงินได้สุทธิตั้งแต่ 4,000,001 บาทขึ้นไป จะต้องเสียภาษีในอัตราสูงสุด 37 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ หากสามีและภรรยามีรายได้สุทธิหลังหักค่าลดหย่อนและหักค่าใช้จ่ายคนละ 4 แสนบาทต่อปี รวมแล้วมีรายได้ประมาณ 8 แสนบาทต่อปี ต้องเสียภาษีในอัตรา 20 เปอร์เซ็นต์ หรือต้องเสียภาษี 160,000 บาท แต่ถ้าสามารถแยกยื่นภาษีจะทำให้ลดอัตราการเสียภาษีเหลือแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ เพราะมีรายได้ไม่เกิน 500,000 บาท หรือคิดเป็นภาษีคนละ 40,000 บาท รวม 2 คน ต้องภาษี 80,000 บาท เท่านั้น อ้างอิงจาก http://www.kruthai.info/view.php?article_id=1558

วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

10 ประเทศ "อาเซียน" ลงมติ ใช้หลักสูตร "แกนกลาง" ร่วมกัน

10 ประเทศ "อาเซียน" ลงมติ ใช้หลักสูตร "แกนกลาง" ร่วมกัน
เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ที่เมืองยอร์ก ยาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียนครั้งที่ 7 ว่า ที่ประชุมเห็นชอบกรอบความร่วมการจัดการศึกษาในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะการเทียบโอนหน่วยกิตในระดับอุดมศึกษา ที่สามารถถ่ายโอนไปเรียนในประเทศสมาชิกได้ รวมถึงจัดทำเอกสาร asean curriculum sourcebook ซึ่งเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับหลักสูตรอาเซียนทุกรายวิชา และประเทศไทยเสนอเป็น เจ้าภาพจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับเรื่อง ดังกล่าวในช่วงเดือนพฤศจิกายน "การประชุมครั้งนี้เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 โดยเน้นไปที่การจัดการศึกษาร่วมกันอย่างมีคุณภาพ ในระดับอาชีวศึกษา และอุดมศึกษา เพื่อพัฒนาศักยภาพแรงงานให้สามารถทำงานข้ามพรมแดนได้ ส่วนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานแต่ละประเทศจะมีการเตรียมพร้อมให้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับประเทศอาเซียนแก่เด็ก เพื่อให้มีความเข้าใจพื้นฐานวัฒนธรรมและการอยู่ร่วมกัน" นายสุชาติกล่าว นางเบญจลักษณ์ น้ำฟ้า รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จะนำ asean curriculum sourcebook ซึ่งถือเป็นเกณฑ์กลางเพื่อให้ 10 ประเทศอาเซียนนำไปปรับการเรียนการสอนทั้งในส่วนของระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน อาชีวศึกษา และอุดมศึกษา โดยในส่วนของประเทศไทย ที่ผ่านมา สพฐ.ได้ส่งเสริมให้โรงเรียนจัดการเรียนการสอนเพื่อ ปูพื้นความรู้เกี่ยวกับประเทศในกลุ่มอาเซียนให้ กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาผ่านการจัดกิจกรรม รูปแบบต่างๆ ขณะเดียวกันในส่วนของหลักสูตรส่วนใหญ่เนื้อหาเกี่ยวกับประเทศอาเซียน จะสอดแทรกอยู่ในแต่ละวิชา ดังนั้น คาดว่าคงจะมีการปรับเพิ่มเพียงเล็กน้อย แต่ในบางรายวิชาอาจต้องเพิ่มเติมเนื้อหาบางส่วน อาทิ ความรู้พื้นฐานที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์กลุ่มประเทศอาเซียนเข้าไปให้มากขึ้น เนื่องจากเมื่อมีการรวมตัวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนจริงๆ อยากให้นักเรียนมีความรู้สึกร่วมกันว่าเป็นพลเมืองอาเซียน ไม่ใช่ประชาชนของประเทศใดประเทศหนึ่งเท่านั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับหลักสูตรเกณฑ์กลางดังกล่าว จะกำหนด 5 กรอบ ได้แก่ 1.ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับอาเซียน 2.คุณค่าและความหลากหลาย 3.การติดต่อทั้งภายในภูมิภาคและประเทศ อื่นๆ ทั่วโลก 4.การส่งเสริมด้านความถูกต้องและยุติธรรม และ 5.การทำงานร่วมกันเพื่อความร่วมมืออันดีในอนาคต โดยจะมุ่งพัฒนา 4 ด้าน ได้แก่ บุคลากร สถานที่ นโยบาย และความคิดสร้างสรรค์ อ้างอิงจาก http://www.kruthai.info/view.php?article_id=1553

วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เปิดโครงการครูอาสาสมัครสอนภาษาจีน ประจำปี พ.ศ.2555

นายสุชาติ ธาดำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ในวันที่11 พ.ค.นี้ กระทรวงศึกษาธิการ จะเปิดตัวโครงการครูอาสาสมัครสอนภาษาจีน ประจำปี พ.ศ.2555 ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกระทรวงศึกษาธิการไทย – จีน เพื่อร่วมกันส่งเสริมและพัฒนาการเรียนการสอนภาษาจีนในประเทศไทย ได้รับความร่วมมือของสำนักงานส่งเสริมการสอนภาษาจีนนานาชาติ หรือ ฮั่นปั้น และหน่วยงานอื่นๆ ในการส่งอาสามัครจำนวน 1,200 คน มาช่วยสอนภาษาจีนให้นักเรียนไทยทุกสังกัด ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน และสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ซึ่งจะจัดทำหนังสือสำหรับผู้เริ่มเรียนตั้งแต่ระดับประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย จัดทำหลักสูตรภาษาจีน การให้ทุนการศึกษาภาษาจีนสำหรับครูไทย และการแลกเปลี่ยนเยาวชนไทย – จีน โดยนายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานเปิดโครงการดังกล่าว อ้างอิงจาก http://www.enn.co.th/3029-%E0%B8%A8%E0%B8%98.%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99.html

ผลการเสี่ยงทายวันพืชมงคล 2555

วันพืชมงคล ซึ่งตรงกับวันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 ผลการเสี่ยงทายพระโคกินเลี้ยง พระโคเสี่ยงทาย (พระโคฟ้า-พระโคใส) กินหญ้า พยากรณ์น้ำท่าบริบูรณ์พอควร ธัญญาหาร ผลาหาร ภักษาหาร มังสาหาร อุดมสมบูรณ์ดี ผลการตั้งสัตยาธิษฐานหยิบผ้านุ่งแต่งกาย (การเสี่ยงทายผ้านุ่ง) พระยาแรกนา หยิบได้ผ้า ๖ คืบ พยากรณ์ว่า น้ำจะน้อย นาในที่ลุ่มจะได้ผลบริบูรณ์ดี แต่นาในที่ดอน จะเสียหายบ้าง ได้ผลไม่เต็มที่ วันพืชมงคล เป็นวันสำคัญที่กำหนดขึ้นเพื่อระลึกถึงความสำคัญของเกษตรกรที่มีต่อเศรษฐกิจไทย มีการจัดพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ซึ่งเป็นพระราชพิธีโบราณ สืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ประกอบด้วย 2 พระราชพิธีคือ พระราชพิธีพืชมงคล และพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พระราชพิธีนี้กระทำที่ท้องสนามหลวง ทางราชการกำหนดให้วันพืชมงคลเป็นวันเกษตรกร และกำหนดให้วันนี้เป็นวันหยุดราชการ ยกเว้นธนาคารและบริษัทเอกชนบางแห่งไม่หยุดทำการ วันพืชมงคลจะไม่ตรงกับวันเดิมตามสุริยคติหรือจันทรคติของทุกปี แต่สำนักพระราชวังจะเป็นผู้ประกาศวันพืชมงคล ให้เป็นวันใดวันหนึ่งในเดือนพฤษภาคม แล้วแต่ในแต่ละปี ซึ่งในปี พ.ศ. 2555 วันพืชมงคล ตรงกับวันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 โดยในปี พ.ศ. 2554 พระโคเสี่ยงทาย (พระโคฟ้า-พระโคใส) กินหญ้า – เหล้า พยากรณ์น้ำท่าบริบูรณ์พอควร ธัญญาหาร ผลาหาร ภักษาหาร มังสาหาร อุดมสมบูรณ์ดี การคมนาคมสะดวกยิ่งขึ้น การค้ากับต่างประเทศดีขึ้น และ พระยาแรกนาเสี่ยงได้ผ้า 5 คืบ สองพระโคกินหญ้า-เหล้า โหรทำนายน้ำ-อาหารบริบูรณ์พอควร การค้าต่างประเทศดีขึ้น และในปี พ.ศ. 2555 วันพืชมงคล ซึ่งตรงกับวันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 ผลการเสี่ยงทายพระโคกินเลี้ยง พระโคเสี่ยงทาย (พระโคฟ้า-พระโคใส) กินหญ้า พยากรณ์น้ำท่าบริบูรณ์พอควร ธัญญาหาร ผลาหาร ภักษาหาร มังสาหาร อุดมสมบูรณ์ดี ผลการตั้งสัตยาธิษฐานหยิบผ้านุ่งแต่งกาย (การเสี่ยงทายผ้านุ่ง) พระยาแรกนา หยิบได้ผ้า ๖ คืบ พยากรณ์ว่า น้ำจะน้อย นาในที่ลุ่มจะได้ผลบริบูรณ์ดี แต่นาในที่ดอน จะเสียหายบ้าง ได้ผลไม่เต็มที่ อ้างอิงจาก http://news.enterfarm.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A5-2555.html

ประกาศผลการคัดเลือกนักเรียน นักศึกษา และสถานศึกษาเพื่อรับรางวัลพระราชทาน ประจำปีการศึกษา 2554

ประกาศผลการคัดเลือกนักเรียน นักศึกษา และสถานศึกษาเพื่อรับรางวัลพระราชทาน ประจำปีการศึกษา 2554 ตามที่กระทรวงศึกษาธิการมอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการคัดเลือกนักเรียน นักศึกษา และสถานศึกษา เพื่อรับรางวัลพระราชทาน ประจำปีการศึกษา 2554 บัดนี้หน่วยงานที่รับผิดชอบได้ดำเนินการคัดเลือกนักเรียน นักศึกษา และสถานศึกษา เพื่อรับรางวัลพระราชทาน ประจำปีการศึกษา 2554 และส่งผลการคัดเลือกให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาตัดสินแล้วตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ 1. ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องรายชื่อนักเรียน นักศึกษา และสถานศึกษาที่ได้รับรางวัลพระราชทาน ประจำปีการศึกษา 2554 2. ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องรายชื่อนักเรียน นักศึกษา และสถานศึกษาที่ได้รับรางวัลชมเชยในการคัดเลือกนักเรียน นักศึกษา และสถานศึกษา เพื่อรับรางวัลพระราชทาน ประจำปีการศึกษา 2554 อาศัยอ านาจตามความในข้อ 6 ข้อ 9 ข้อ 10 และข้อ 15 แห่งระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วย รางวัลพระราชทานแก่นักเรียน นักศึกษา และสถานศึกษา พ.ศ. 2554 กระทรวงศึกษาธิการ จึงขอประกาศ รายชื่อนักเรียน นักศึกษา และสถานศึกษา ที่ได้รับรางวัลพระราชทาน ประจ าปีการศึกษา 2554 ดังต่อไปนี้ นักเรียนรางวัลพระราชทาน ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ประจำปีการศึกษา 2554 ระดับประถมศึกษา กลุ่มจังหวัดที่ 11 เล็ก เด็กหญิงปริญญา ทองศรี โรงเรียนบ้านห้วยหุงเกลือ พระทองคำ นครราชสีมา สพฐ ใหญ่ เด็กหญิงปริยากร อาจกลาง โรงเรียนอนุบาลมณีราษฎร์คณาลัย ห้วยแถลง นครราชสีมา สพฐ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เล็ก เด็กหญิงจรีรัตน์ โม้นอก โรงเรียนบ้านหนองแวง เทพารักษ์ นครราชสีมา สพฐ ใหญ่ เด็กหญิงทัตติยา วิษณุโยธิน โรงเรียนสุรนารีวิทยา เมืองนครราชสีมา นครราชสีมา สพฐ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายกลาง นายนพพล บาตรโพธิ์ โรงเรียนมหิศราธิบดี เมืองนครราชสีมา นครราชสีมา สพฐ สถานศึกษารางวัลพระราชทาน ก่อนประถมล็ก โรงเรียนชุมชนบ้านโคกสวาย โนนไทย นครราชสีมา สพฐ. กลาง โรงเรียนชลประทานสงเคราะห์ เมืองนครราชสีมา นครราชสีมา สพฐ. ระดับประถมศึกษา ใหญ่ โรงเรียนเมืองนครราชสีมา เมืองนครราชสีมา นครราชสีมา สพฐ. ระดับมัธยมศึกษา เล็ก โรงเรียนเรืองศรีวิทยา ปากช่อง นครราชสีมา สช.สป. ประกาศ ณ วันที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ อ้างอิงจากและดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ http://www.obec.go.th/documents/19822 ยินดีกับนักเรียนและสถานศึกษาที่ประสบควสามสำเร็จในครั้งดี

วันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ 2555

“พืชมงคล” พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ สร้างกำลังใจ เสริมความเชื่อมั่น ธำรงวิถีชีวิต “เกษตรกร” ผู้ผลิตอาหารหลักของโลก “ศรัทธา-ความเชื่อ เป็นพืชพันธุ์ข้าวปลูกของเรา ตบะ-ความเพียร เผาบาป เป็นเมล็ดฝน ปัญญา-ความรอบรู้เป็นแอกและไถ หิริ-ความละอายใจ เป็นงอนไถ เป็นเชือกถัก สติ-ความระลึกได้ เป็นผาลและปฏัก เราจะระวังกาย ระวังวาจา และสำรวม ระวังในอาหาร ทำความสัตย์ให้เป็นท่อไขน้ำ เป็นพาหนะนำไปสู่ที่อันเกษม จากเครื่องผูกพันที่ไปไม่กลับ ที่ไปแล้วไม่เศร้าโศก การไถของเราเช่นนี้มีผลเป็นอมตะมิรู้ตาย บุคคลมาประกอบการไถเช่นว่านี้แล้วย่อมพ้นจากทุกข์สิ้นทุกประการ” เป็นคาถาภาษาบาลีพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 4 ที่ได้ยกพระคาถาที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสแสดงการทำนาของพระองค์แก่กสิภารทวาชพราหมณ์ มาใช้เป็นส่วนหนึ่งของคำอธิษฐานในประกาศพระราชพิธีพืชมงคล เพื่อสร้างสิริมงคลให้แก่การทำนา และให้พืชผลที่เพาะปลูกของประเทศไทยเกิดความเจริญงอกงาม อีกทั้งเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจ แก่เกษตรกร หรือชาวนา ผู้ที่มีอาชีพปลูกข้าว อาชีพที่เปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของชาติ ในสังคมเกษตรกรรม ฉะนั้นเมื่อฤดูกาลเพาะปลูกข้าวเวียนมาถึง ประเทศไทยโดยเฉพาะสถาบันพระมหากษัตริย์จะให้ความสำคัญต่อช่วงเวลาดังกล่าวเป็นอย่างยิ่ง และกำหนดให้จัดพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ หรือเรียกสั้นๆ ว่า พิธีแรกนา พิธีนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นต้นมา จนเป็นประเพณีที่สำคัญและถือปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง แต่มีเหตุให้งดจัดงานระหว่าง ปี พ.ศ.2480-2502 เนื่องจากสถานการณ์บ้านเมืองอยู่ในความไม่สงบ พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นพระราชพิธี 2 พิธีรวมกัน คือ พระราชพิธีพืชมงคลซึ่งเป็นพิธีสงฆ์ (รัชกาลที่ 4 ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดเพิ่มขึ้น) และพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ซึ่งเป็นพิธีพราหมณ์ จึงมีชื่อเรียกรวมกันตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา โดยพระราชพิธีพืชมงคลจะประกอบพิธีวันแรกในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งเป็นพิธีการทำขวัญเมล็ดพืชพันธุ์ต่างๆ เช่น ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเหนียว ข้าวโพด ถั่ว งา เผือก มัน ฯลฯ เพื่อให้เมล็ดพันธุ์ดังกล่าว ปลอดจากโรคภัย และให้เจริญงอกงามอุดมสมบูรณ์ดี สำหรับพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญจะประกอบพิธีในวันรุ่งขึ้น ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง เป็นพิธีเริ่มต้นการไถนา หว่านเมล็ดข้าว เพื่อเป็นอาณัติสัญญาณว่า บัดนี้ฤดูกาลทำนาและเพาะปลูกได้เริ่มขึ้นแล้ว ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้ในพระราชนิพนธ์ เรื่อง พระราชพิธีสิบสองเดือน ถึงความมุ่งหมายที่เป็นสาเหตุให้เกิดมีพระราชพิธีนี้ขึ้น ว่า“การแรกนาที่ต้องเป็นธุระของผู้ซึ่งเป็นใหญ่ในแผ่นดิน เป็นธรรมเนียมนิยมที่มีมาแต่โบราณ เช่น ในเมืองจีน สี่พันปีล่วงมาแล้ว พระเจ้าแผ่นดินก็ทรงลงไถนาเองเป็นคราวแรก พระมเหสีทรงเลี้ยงตัวไหม ส่วนในประเทศสยามก็มีปรากฏอยู่ในการแรกนานี้อยู่เสมอไม่มีว่างเว้น ด้วยการที่ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินลงมือทำเองเช่นนี้ ก็เพื่อเป็นตัวอย่างแก่ราษฎร ชักนำให้มีใจมุ่งมั่นในการทำนา เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่จะได้อาศัยเลี้ยงชีวิตทั่วหน้า เป็นต้นเหตุของความตั้งมั่น และความเจริญไพบูลย์แห่งพระนครทั้งปวง” กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำโดยนายศุภชัย ปานพับทอง รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะพระยาแรกนา พร้อมด้วยเทพีคู่หาบเงิน หาบทอง และข้าราชการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมซ่อมใหญ่งานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ 2555 ณ บริเวณสนามหลวง เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับวันที่ 9 พฤษภาคม 2555 ประกอบด้วยพระราชพิธี 2 พิธี คือ พระราชพิธีพืชมงคล เป็นพิธีสงฆ์ ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ (วันไถหว่าน) เป็นพิธีพราหมณ์ สำหรับเทพีคู่หาบทอง ได้แก่ นางสาวศิริลักษณ์ สมสกุล นักวิชาการเงินและบัญชีชำนาญการกรมชลประทาน และนางสาวเจษฎาภรณ์ สถาปัตยานนท์ นักวิชาการสหกรณ์ชำนาญการ กรมส่งเสริมสหกรณ์ เทพีคู่หาบเงิน ได้แก่ นางสาวสุมาลี จำเริญ นิติกรปฏิบัติการ กรมปศุสัตว์ และนางสาวสุวิสาข์ เกตุอินทร์ นักวิชาการเกษตรปฏิบัติการ กรมส่งเสริมการเกษตร คู่เคียงมีจำนวน 16 ราย และผู้เชิญเครื่องอิสริยยศ จำนวน 4 ราย พระโคแรกนา ได้แก่ พระโคฟ้า และพระโคใส พระโคสำรอง ได้แก่ พระโคเทิด และพระโคทูน พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นพระราชพิธี เพื่อความเป็นสิริมงคลและส่งเสริมบำรุงขวัญเกษตรกร ให้เกิดความมั่นใจในการเพาะปลูก กำหนดจัดขึ้นในเดือนหกของทุกปี ซึ่งเป็นเวลาที่เหมาะสมในการเริ่มต้นฤดูกาลทำนา พระยาแรกนาในสมัยก่อนเคยโปรดเกล้าฯ ให้ผู้ที่ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ เป็นพระยาแรกนา และผู้ที่เป็นเทพีหาบกระบุงทอง กระบุงเงิน บรรจุข้าวเปลือกหว่านนั้นโปรดเกล้าฯ ให้จัดท้าวนางฝ่ายใน เมื่อเวลาได้เปลี่ยนแปลงหน้าที่ตำแหน่งไปแล้วเช่นนี้ เมื่อเริ่มฟื้นฟูพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญขึ้นมาใหม่ พระยาแรกนาจึงได้แก่ อธิบดีกรมการข้าวกระทรวงเกษตรเทพีได้คัดเลือกจากข้าราชการสตรีผู้มีเกียรติในกระทรวงเกษตร ในปีต่อมาจนถึงปัจจุบันผู้เป็นพระยาแรกนาได้แก่ผู้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่วนเทพีนั้นคัดเลือกจากข้าราชการสตรีโสดในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ระดับ ๓ – ๔ คือชั้นโทขึ้นไป
พระราชพิธีพืชมงคล ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เจ้าหน้าที่เชิญพระปฏิมาชัยวัฒน์รัชกาลปัจจุบันพระพุทธคันธารราษฎร์ของรัชกาลที่ ๑ พระพุทธรูปปางสมาธิทรงภาวนาให้ต้นข้าวเกิดงอกงามรอบพุทธบัลลังก์ รัชกาลที่ ๑ ทรงสร้าง พระชัยนวโลหะรัชกาลที่ ๔ พระชัยนวโลหะรัชกาลที่ ๕ พระคันธารราษฎร์ขอฝนแบบจีน พระบัวเข็ม เทวรูปพระพลเทพ พระโคอุศุภราช ตั้งบนม้าหมู่ในธรรมาสน์ศิลาหน้าฐานชุกชีพุทธบัลลังก์บุษบก พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ใต้ธรรมาสน์ศิลาตั้งกระบุงทอง กระบุงเงินอย่างละคู่บรรจุข้าวเปลือกพันธุ์ดีที่เป็นของพระราชทานจากนาทดลอง และมีถุงบรรจุพันธุ์พืชต่าง ๆ คือ ผักกาดกวางตุ้งดอก ผักกาดหอม ข้าวโพดขาว ผักกาดขาวปลี แตงกวา พริกชี้ฟ้า แตงกวาผสม ละหุ่ง ผักกาดหัว บวบเหลี่ยม มะระจีน คะน้าใบ ผักกาดขาวกวางตุ้ง คะน้ายอด มะเขือเทศสีดา แตงร้าน แตงโม ฟักทอง พริกขี้หนู มันแกว แตงไทย ผักบุ้งจีน ผักกาดขาวใหญ่ ถั่วฝักยาว ถั่วแขก ตั้งโอ๋ น้ำเต้า ข้าวโพดเกษตร ถั่วเหลือง ถั่วเขียว เมล็ดงา ผักปวยเล้ง กระเจี๊ยบ ขึ้นฉ่าย ชุนฉ่าย ฟักเขียว ผักกาดขาวปลี ผักชี ผักกาดเขียวกวางตุ้ง แฟง ผักขมจีน เผือก มัน แล้ววงสายสิญจน์จากพระพุทธรูปสำคัญโยงไปถวายพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ หน้าธรรมาสน์ศิลาทอดเครื่องนมัสการพุ่มพานดอกไม้ธูปเทียนไว้พร้อม ก่อนเวลาเสด็จพระราชดำเนินพระยาแรกนาแต่งกายเครื่องแบบครึ่งยศ ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์เทพีทั้ง ๔ แต่งกายชุดไหมไทยห่มสไบผ้าไหมประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ มายังพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม จุดธูปเทียนสักการบูชาพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร แล้วไปนั่งเก้าอี้ที่เฝ้าฯ ตามลำดับ เวลา ๑๖ นาฬิกา ๓๐ นาที พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐานพระราชวังดุสิตไปยังพระบรมมหาราชวังเสด็จพระราชดำเนินขึ้นสู่พระอุโบสถ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ไปทรงจุดเทียนท้ายที่นั่งบูชาพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระสัมพุทธพรรณี พระพุทธรูปฉลองพระองค์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระพุทธรูปฉลองพระองค์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการที่หน้าธรรมาสน์ศิลา ทรงกราบ ทรงรับการถวายความเคารพของผู้มาเฝ้าฯ แล้วประทับพระราชอาสน์ เจ้าหน้าที่กองศาสนูปถัมภ์กรมการศาสนาอาราธนาศีล พระราชคณะถวายศีล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงศีล เมื่อทรงศีลแล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ไปที่ธรรมาสน์ศิลาทรงพระสุหร่ายสรงพระพุทธปฏิมาชัยวัฒน์และพระพุทธรูปสำคัญแล้วทรงประพรมพืชต่าง ๆ ทรงโปรยดอกไม้มีดอกมะลิและกลีบกุหลาบ แล้วถวายพวงมาลัยที่พระพุทธรูปทุกองค์โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้ทูลเกล้าฯ ถวาย แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจุดธูปเทียนพระคันธารราษฎร์ ๒ คู่ และทรงจุดเทียนที่พระคันธารราษฎร์จีนอีก ๑ เล่ม ทรงกราบอธิษฐานขอความสมบูรณ์แห่งพืชผลของราชอาณาจักรแล้วประทับพระราชอาสน์หัวหน้าพราหมณ์อ่านประกาศพระราชพิธีพืชมงคล เมื่อหัวหน้าพราหมณ์อ่านประกาศพระราชพิธีพืชมงคลจบ พระสงฆ์ ๑๑ รูป มีพระราชาคณะวัดระฆัง-โฆษิตารามเป็นประธานสงฆ์ และพระเปรียญ ๙ ประโยคจากวัดต่างๆ อีก ๑๐ รูปรวมเป็น ๑๑ รูป เจริญพระพุทธมนต์คาถาพืชมงคล จบ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระยาแรกนา เข้าไปเฝ้าฯ คุกเข่าถวายบังคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหลั่งน้ำสังข์พระราชทานรดที่ศีรษะทรงเจิมแป้งกระแจะที่หน้าผาก พระราชทานใบมะตูมทัดที่ซอกหูขวาและพระราชทานธำมรงค์นพเก้าสำหรับสวมที่มือขวา ๑ วง ที่มือซ้าย ๑ วงแล้ว พระราชทานพระแสงปฏักที่จะถือใช้วันจรดพระนังคัลแรกนาขวัญแล้วลุกขึ้นถวายคำนับ กลับไปนั่งเฝ้าฯ ที่เดิมต่อจากนี้ข้าราชการสตรีในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเทพี ๔ คน ถวายความเคารพ เดินเข้าไปหมอบเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหลั่งน้ำสังข์พระราชทานรดที่ศีรษะ ทรงเจิม พระราชทานใบมะตูมทัดที่ซอกหูขวาตามลำดับ ขณะที่พระยาแรกนาและเทพีรับพระราชทานน้ำสังข์นั้น พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถาจนเสร็จการพระราชทานน้ำสังข์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ไปทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมซึ่งบรรจุในถาดมีคนโทแก้วบรรจุน้ำฝนด้วย เป็นราชประเพณีที่จะต้องจัดภาชนะบรรจุน้ำฝนถวายพระสงฆ์เฉพาะงานพระราชพิธีมงคลตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงพระราชดำริไว้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถวายจตุปัจจัยไทยธรรมแล้ว ทรงหลั่งทักษิโณทก พระสงฆ์ถวายอนุโมทนาถวายอดิเรก แล้วออกจากพระอุโบสถ เมื่อพระสงฆ์ออกจากพระอุโบสถแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จ ฯ ไปทรงกราบที่หน้าเครื่องนมัสการ รงรับการถวายความเคารพของผู้มาเฝ้าฯ เสด็จพระราชดำเนินกลับ หลังจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชดำเนินกลับแล้ว คณะพราหมณ์เชิญเทวรูปสำคัญที่ตั้งในมณฑลพิธี คือ พระพลเทพ พระโคอุศุภราช ไปเข้าเบญจาพิธีมณฑล ณ โรงพิธีพราหมณ์ที่ท้องสนามหลวงที่แท่นมลฑลพิธีนี้ พราหมณ์ได้เชิญเทวรูปสำคัญจากเทวสถานเสาชิงช้ามาตั้งเข้าพิธีคือ พระอิศวร พระนารายณ์ พระอุมา พระพรหม และพระพิฆเนศวร์ พร้อมด้วยกระบุงทอง กระบุงเงิน บรรจุข้าวเปลือกที่ได้เข้าพิธีในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามรวมทั้งพืชพันธุ์ต่าง ๆ และเครื่องพิธีตามลัทธิธรรมเนียมของพราหมณ์ คณะพราหมณ์ประกอบพิธีกรรมสวดบูชาพระเวทย์ตลอดคืน วันนี้แต่งกายเครื่องแบบครึ่งยศ พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ
เวลาประมาณ ๖ นาฬิกา พระยาแรกนาพร้อมด้วยเทพีแต่งกายที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พระยาแรกนาสวมสนับเพลาปลายขอบปักดิ้นทอง ถุงเท้าขาว รองเท้าหุ้มส้นสีดำไม่ผูกเชือกมีกรอบทำด้วยโลหะสีทองติดคล้ายโบ นุ่งผ้าเยียรบับชายพกพับจีบ ไม่จีบโจง ใช้เชือกสายแถบรัดเอวสวมเสื้อเยียรบับพื้นเขียวลายทองแขนยาวแบบราชการ กระดุม ๕ เม็ด สวมสายสะพายและประดับราชอิศริยาภรณ์คาดเข็มขัดทำด้วยโลหะสีทองรัดเอวนอกเสื้อ สวมเสื้อครุยผ้าโปร่งปักดิ้นทองแล้วกลัดดวงตราปักอักษรย่อ จจจ. เครื่องราช-อิศริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ส่วนเทพีนุ่งจีบหน้านางผ้าเยียรบับหรือผ้าไหมไทยทอยกดอกลายสีทองพื้นสีตามความเหมาะสม สวมเสื้อไหมไทยรัดรูปแขนยาวคาดเข็มขัดทำด้วยโลหะเป็นเกลียวเกี่ยวขัดสีทอง ห่มผ้าสไบปักทองแล่ง ประดับอาภรณ์และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ได้รับพระราชทาน สวมถุงเท้าสีเนื้อ รองเท้าหนังหุ้มส้นสีทองปลายงอน เสร็จแล้วพระยาแรกนาขึ้นรถยนต์หลวงออกจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปยังพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เทพีและข้าราชการ (แต่งเครื่องแบบเต็มยศประดับราชอิสริยาภรณ์) เชิญเครื่องยศขึ้นรถตามเป็นกระบวน เมื่อเข้าสู่พระอุโบสถแล้วพระยาแรกนาและเทพีจุดธูปเทียนถวายนมัสการบูชาพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร แล้วไปที่ปราสาทพระเทพบิดรถวายสักการะพระบรมรูปสมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชแล้วไปขึ้นรถยนต์หลวง เป็นกระบวนออกจากจัดพระศรีรัตนศาสดารามไปยังท้องสนามหลวง เวลา ๗ นาฬิกา เจ้าพนักงานจัดตั้งริ้วกระบวนอิสริยยศตามประเพณีโบราณรับพระยาแรกนา พระยาแรกนาลงจากรถยนต์หลวงแล้วสวมลอมพอกเดินเข้าประจำที่ในกระบวนพร้อมด้วยคู่เคียง ๒ ข้าง ๆ ละ ๘ นาย ผู้เชิญเครื่องยศและเทพีจัดเป็นรูปกระบวนยาตราไปยังโรงพิธีพราหมณ์ ประโคมกลองชนะ สังข์ แตร ตลอดทาง พระโคเสี่ยงทายมี 7 สิ่ง ถ้าพระโคกินสิ่งใดจะมีคำทำนายตามนั้น - ถ้าพระโคกินข้าว หรือ ข้าวโพด พยากรณ์ว่า ธัญญาหาร ผลาหารจะบริบูรณ์ดี - ถ้ากินถั่ว หรือ งา พยากรณ์ว่า ผลาหาร ภักษาหารจะอุดมสมบูรณ์ดี - ถ้ากินน้ำ หรือ หญ้า พยากรณ์ว่า จะสมบูรณ์พร้อม - ถ้าพระโคกินเหล้าพยากรณ์ว่า การคมนาคมสะดวก การค้าขายกับต่างประเทศดี เศรษฐกิจจะรุ่งเรือง ผ้านุ่งเสี่ยงทายมี ๓ ผืน ขนาดกว้าง ๔ คืบ ๕ คืบ ๖ คืบ มีคำพยากรณ์ ดังนี้ - ผ้า ๔ คืบ พยากรณ์ว่าน้ำจะมากสักหน่อย นาในที่ดอนจะได้ผลบริบูรณ์ดี นาในที่ลุ่มอาจจะเสียหายบ้าง ได้ผลไม่เต็มที่ - ผ้า ๕ คืบ พยากรณ์ว่าน้ำในปีนี้จะมีปริมาณพอดี ข้าวกล้าในนาจะได้ผลสมบูรณ์และผลาหาร สังสาหาร จะอุดมสมบูรณ์ - ผ้า ๖ คืบ พยากรณ์ว่าน้ำน้อย นาในที่ลุ่มจะได้ผลบริบูรณ์ดี แต่ในที่ดอนอาจจะเสียหายบ้าง ได้ผลไม่เต็มที่ อ้างอิงจาก 1.http://guru.sanook.com/search/knowledge_search.php?qID=&wi=&hnl=&ob=&asc=&q=%C7%D1%B9%BE%D7%AA%C1%A7%A4%C5&select=2 2.http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=120490:-2555-&catid=143:2011-01-26-05-35-57&Itemid=597 3.http://www.banmuang.co.th/2012/05/%E2%80%9C%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A5%E2%80%9D%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%B4-2/ ขอบคุณรูปภาพจากhttp://xn--42cfi3dzat4aj4gwc.sabuyblog.com/%E0%B8%8B%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A5-2555/

วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

โอเน็ตไม่ถึง 50 % อดต่อ ม. 4 ที่เก่า

ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวถึงกรณีที่ผู้ปกครองนักเรียนชั้น ม.3 ของโรงเรียนดังแห่งหนึ่ง ซึ่งได้เกรดเฉลี่ย 3.70 แต่ไม่สามารถเข้าเรียนต่อชั้น ม. 4 โรงเรียนเดิมได้ ว่า ต้องเข้าใจว่าโรงเรียนดังมีที่นั่งเรียนและมีแผนการรับ ชั้น ม.4 จำนวนจำกัด ซึ่งทุกปีก็จะเกิดปัญหานักเรียน ที่จบชั้น ม.3 มีจำนวนมากเกินกว่าแผนรับชั้น ม.4 เพราะโรงเรียนที่เปิดสอน ทั้ง ม.ต้น และ ม.ปลาย ต้องรับนักเรียนจาก 2 ส่วน คือ รับนักเรียนเดิมไม่เกิน 80% และ นักเรียนทั่วไป 20% อย่างไรก็ตามสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า หากเด็กจบ ม.3 เกินกว่าแผนการรับก็ให้พิจารณาจากคะแนนเฉลี่ยสะสม หรือ จีพีเอ โดยไล่ตามคะแนนตั้งแต่เกรดเฉลี่ย 4.00 ลงไป ส่วนนักเรียนชั้น ม.3 ที่ได้คะแนนเฉลี่ย 3 กว่าไม่สามารถเรียนต่อชั้น ม.4 ได้เนื่องจากทำคะแนนแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน หรือ โอเน็ต ได้ไม่ถึง 50 % นั้น เป็นสิทธิของโรงเรียนที่ไปกำหนดหลักเกณฑ์เอง ซึ่งสามารถทำได้ แต่โรงเรียนต้องประกาศหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขต่าง ๆ ให้นักเรียนและผู้ปกครองรับทราบก่อน ดร.พชรพงศ์ ตรีเทพา ผู้อำนวยการโรงเรียนหอวัง กล่าวว่า โรงเรียนหอวังมีนักเรียนชั้น ม.3 ทั้งหมด 637 คน ซึ่งปีนี้เป็นปีแรกที่ ศธ.ให้ใช้คะแนนโอเน็ตเป็นองค์ประกอบในการพิจารณาคัดเลือกนักเรียนเข้าเรียนต่อ ชั้น ม.4 ทางโรงเรียนจึงใช้หลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกเด็กเก่าเข้าเรียน โดยเด็กต้องมีผลการเรียนเฉลี่ยกลุ่มสาระ หรือ จีพีเอ 2.50 ขึ้นไป โดยเรียงลำดับคะแนนจากมากไปหาน้อย และต้องทำคะแนนโอเน็ตได้ไม่ต่ำกว่า 50% ซึ่งจากการสอบโอเน็ตที่ผ่านมามีเด็กหอวังทำคะแนนโอเน็ตได้ไม่ต่ำกว่า 50 % ประมาณ 500 กว่าคน และได้คัดเลือกนักเรียนเก่าไว้ 417 คน ทั้งนี้ ในการประชุมผู้ปกครองเมื่อวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมาโรงเรียนก็ได้ประกาศหลักเกณฑ์ให้ผู้ปกครองได้รับทราบแล้ว แต่ผู้ปกครองบางคนก็ไม่ยอมมาประชุมจึงอาจจะไม่ทราบเรื่อง ส่วนที่นักเรียนบางคนมีคะแนนจีพีเอถึง 3.97 แต่ทำคะแนนโอเน็ตได้ไม่ถึง 50 % นั้น อาจจะเป็นเพราะเด็กไม่ตั้งใจสอบโอเน็ต อย่างไรก็ตามตนพร้อมให้ตรวจสอบหลักฐานทุกอย่าง ด้าน ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ความผิดพลาดไม่ได้เกิดขึ้นที่ตัวนักเรียน และแม้ว่าปีการศึกษานี้ จะเป็นปีแรกที่ประกาศให้ใช้คะแนนโอเน็ต แต่ก็สามารถยืดหยุ่นได้. อ้างอิงจาก http://www.kruthai.info/view.php?article_id=799

สพม.31 จัดประชุมโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ( PISA )

สพม.31 จัดประชุมโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ( PISA ) นางอ่องจิต เมธยะประภาส ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นประธานในพิธีเปิดประชุม โครงการความร่วมมือระหว่าง สพฐ. และ สสวท. ในการประชุมผู้บริหารเขตพื้นที่การศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา และศึกษานิเทศก์ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและความตระหนักถึงความสำคัญของการเข้าร่วมโครงการ PISA ของประเทศไทย เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2555 ณ อาคารสุรพัฒน์ 2 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา โดยมี ดร.ชูเกียรติ วิเศษเสนา ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 31 เป็นผู้กล่าวรายงาน โครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ หรือ PISA ( Programme for International Student Assessment ) มีจุดมุ่งหมายเพื่อตรวจสอบว่าเยาวชนวัยจบการศึกษาภาคบังคับ หรือวัยอายุ 15 ปี มีความรู้และทักษะที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิต อันเนื่องมาจากการสะสมสาระความรู้ที่ได้รับจากการเรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียน อีกทั้งโลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การเรียนรู้จึงมีแนวความคิดกว้างขวางขึ้น การประเมินมุ่งการประเมินสมรรถนะนักเรียนที่จะใช้ความรู้และทักษะเผชิญกับโลกในชีวิตจริงมากกว่าการประเมินความรู้ตามหลักสูตรในโรงเรียน โดยมีการประเมินต่อเนื่องทุก ๆ 3 ปี แต่ละครั้งจะประเมินครอบคลุมทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ด้านการอ่าน ด้านคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ประเทศไทยได้เข้าร่วมโครงการ PISA มาแล้ว 4 ครั้ง คือเมื่อปี พ.ศ. 2543 ,2546 , 2549, 2552 สำหรับปี พ.ศ. 2555 เป็นครั้งที่ 5 ซึ่งจะมีการประเมินผล PISA ในเดือนสิงหาคม 2555 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เห็นความสำคัญและถือเป็นนโยบายเร่งด่วนที่โรงเรียนในสังกัดจะต้องเห็นความสำคัญและรณรงค์ส่งเสริมให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจในการสอบ PISA และเข้าสู่การประเมินผล PISA ด้วยความมั่นใจ สพฐ.จึงได้มอบหมายให้ สพม.31 จัดประชุมในครั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้บริหารเขตพื้นที่การศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษาและศึกษานิเทศก์ มีความรู้ความเข้าใจและเห็นความสำคัญของการสอบ PISA รวมทั้งมีความตระหนักและเห็นความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาครูให้เข้าใจข้อสอบตามแนว PISA สามารถนำแนวคิดนี้ไปประยุกต์ใช้ในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ในห้องเรียนได้ ตลอดจนกระตุ้นให้ครูสามารถปรับเปลี่ยนกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นให้นักเรียนมีสมรรถนะการอ่านที่สูงขึ้น มีกระบวนการคิดและการแก้ปัญหาในวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์อย่างมีประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้น ผู้เข้าร่วมประชุมได้แก่ผู้บริหารเขตพื้นที่การศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา และศึกษานิเทศก์ จากเขตพื้นที่การศึกษา บุรีรัมย์ และ สุรินทร์ จำนวน 700 คน อ้างอิงจาก http://www.mattayom31.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=2165:31-pisa-&catid=4:2011-02-15-11-28-47

วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้ารับการสรรหาเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถานศึกษาและผู้อำนวยการสถานศึกษา กลุ่มที่ 1 กลุ่มทั่วไป และกลุ่มที่ 2 กลุ่มประสบการณ์

ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้ารับการสรรหาเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถานศึกษาและผู้อำนวยการสถานศึกษา กลุ่มที่ 1 กลุ่มทั่วไป และกลุ่มที่ 2 กลุ่มประสบการณ์ ประกาศรับสมัครสรรหาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถานศึกษาและผู้อำนวยการสถานศึกษา รายละเอียดอ้างอิงจาก http://www.obec.go.th/documents/19544

วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2555

การสรรหาและแต่งตั้งคณะกรรมการสภาการศึกษา (กกศ.)

นายเอนก เพิ่มวงศ์เสนีย์ เลขาธิการสภาการศึกษา เปิดเผยว่า สกศ. ได้ดำเนินการสรรหาและแต่งตั้งคณะกรรมการสภาการศึกษา (กกศ.) ชุดใหม่ นำเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยเมื่อวันที่ 24 เม.ย. 55 ที่ผ่านมา ครม. มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการสภาการศึกษา จำนวนทั้งสิ้น 59 คน เพื่อทำหน้าที่ 1.พิจารณาเสนอแผนการศึกษาแห่งชาติที่บูรณาการศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรมและกีฬากับการศึกษาทุกระดับ 2.พิจารณาเสนอนโยบาย แผน และมาตรฐานการศึกษา 3.พิจารณาเสนอนโยบาย และแผนในการสนับสนุนทรัพยากรทางการศึกษา 4.ดำเนินการประเมินผลการจัดการศึกษาและ 5.ให้ความเห็นหรือคำแนะนำในเรื่องกฎหมายและกฎกระทรวงที่เกี่ยวกับการศึกษา เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวอีกว่าสำหรับรายชื่อ กกศ. ทั้ง 59 คน มีดังต่อไปนี้ 1.รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน 2.เลขาธิการสภาการศึกษา เป็นกรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการโดยตำแหน่ง จำนวน 16คน ได้แก่ 1.ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา 2.ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ 3.ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 4.ปลัดกระทรวงมหาดไทย 5.ปลัดกระทรวงแรงงาน 6.ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม 7.ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 8.ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ 9.เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา 10.เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 11.เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 12.เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา 13.เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 14.ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ 15.เลขาธิการคุรุสภา 16.ผู้อำนวยการสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา สกศ. สำหรับกรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรเอกชน จำนวน 2 คน ได้แก่ 1.นายอุดม พรมพันธ์ใจ 2.นายวิวัฒน์ รุ้งแก้ว กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 2คน ได้แก่ 1.นายนภดล ทองนพเก้า 2.นายธีระพงษ์ สมเขาใหญ่ กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรวิชาชีพ จำนวน 2คน ได้แก่ 1.รองศาสตราจารย์สมชาย วิริยะยุทธกร 2.นายวิรัตน์ รัตตากร กรรมการที่เป็นพระภิกษุซึ่งเป็นผู้แทนคณะสงฆ์ จำนวน 2 รูป ได้แก่ 1.พระพรหมมุนี (สุชิน อคฺคชิโน) 2.พระราชวรมุนี (พล อาภากโร) กรรมการที่เป็นผู้แทนคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ได้แก่ นายสมัย เจริญช่าง กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรศาสนาอื่น จำนวน 2คน ได้แก่ 1.บาทหลวงเดชา อาภรณ์รัตน์ 2.พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ “กรรมการที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิในด้านต่างๆ จำนวน 30 คน ได้แก่ 1.นางพรนิภา ลิมปพะยอม ด้านการศึกษาปฐมวัย 2.นายเจริญ ทั่งทอง ด้านการศึกษาขั้นพื้นฐาน 3.รองศาสตราจารย์ปรีชา หงส์ไกรเลิศ ด้านการอุดมศึกษา 4.นายวีระศักดิ์ วงษ์สมบัติ ด้านการอาชีวศึกษา 5.นางรัชนีพร พุคยาภรณ์ พุกกะมาน ด้านการศึกษาเอกชน 6.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประมา ศาสตระรุจิ ด้านการศึกษาเฉพาะทาง 7.พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ)ด้านการศึกษาพิเศษ 8.ศาสตราจารย์พิเศษมณฑล สงวนเสริมศรี ด้านการศึกษานอกระบบและตามอัธยาศัย 9.นายสมนึก พิมลเสถียร ด้านการบริหารการศึกษา 10.ผู้ช่วยศาสตราจารย์บัณฑิต ผังนิรันดร์ ด้านการบริหารเขตพื้นที่การศึกษา 11.ศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุ ด้านการศาสนา 12.นายณัฐวุธ วัชรกุลดิลก ด้านวัฒนธรรม 13.นายสมาน เลิศวงศ์รัฐ ด้านภูมิปัญญา 14.ผู้ช่วยศาสตราจารย์วุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ ด้านนโยบายและแผน 15.นายกฤษณพงศ์ กีรติกร ด้านมาตรฐานและการประกันคุณภาพ 16.นายวิชัย ตันติกุลานันท์ ด้านกฎหมาย 17.นายมินทร์ อิงค์ธเนศ ด้านเศรษฐกิจ การเงินและงบประมาณ 18.รองศาสตราจารย์ พันเอกเกรียงชัย ประสงค์สุกาญจน์ ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 19.นายสมบัติ อุทัยสาง ด้านการสื่อสาร 20.นางสาวสุภาภรณ์ ปิติพร ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 21.นายประยูร เลาหบุญญานุกูล ด้านการเกษตรและสหกรณ์ 22.นางสาวหญิงฤดี ภูมิศิริรัตนาวดี ด้านการพัฒนาสังคม 23.นายสมชาย เลิศวิเศษธีรกุล ด้านอุตสาหกรรม 24.ศาสตราจารย์บุญทัน ดอกไธสง ด้านการเมืองการปกครอง 25.นายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ ด้านสื่อสารมวลชน26.รองศาสตราจารย์สุขุม เฉลยทรัพย์ ด้านเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา 27.นางสาวอวัสดา ปกมนตรี ด้านธุรกิจ 28.นายกิตติศักดิ์ ศรีประเสริฐ ด้านการบริการ 29.นางสาวเบญจมาศ รุจิรวงศ์ ด้านองค์กรเอกชน และ 30.นายอาณัฐชัย รัตตกุล ด้านการกีฬา กิจการเยาวชน ลูกเสือ ยุวกาชาด และเนตรนารี ”นายเอนก กล่าวและว่า จะได้มีการประชุมในเร็วๆ นี้ ต่อไป
ขอแสดงความยินดีกับท่านผู้อำนวยการอุดม พรมพันธ์ใจ ในการได้รับแต่งตั้งครั้งนี้ อ้างอิงจาก http://www.onec.go.th/onec_main/page.php?mod=Newseducation&file=view&itemId=534

วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555

สพฐ. ประกาศรายชื่อหนังสือนอกเวลา 44 เล่ม

สพฐ. ประกาศรายชื่อหนังสือนอกเวลา 44 เล่ม สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เปิดเผยรายชื่อหนังสืออ่านนอกเวลา 44 เล่ม โดย สพฐ.หวังใช้หนังสืออ่านนอกเวลาเป็นตัวส่งเสริมความสามารถในการอ่าน และช่วยสร้างบรรยากาศสิ่งแวดล้อมในการส่งเสริมการอ่านแก่นักเรียน ตลอดจนปลูกฝังนิสัยรักการอ่านให้แก่นักเรียน สำหรับรายชื่อหนังสืออ่านนอกเวลาทั้ง 44 เล่มนั้น ทาง สพฐ. ได้มีการจัดหนังสือให้เหมาะสมกับระดับการศึกษา ดังต่อไปนี้ รายชื่อหนังสืออ่านนอกเวลา : ระดับชั้นประถมศึกษา ปีที่ 1 - 3 1. การผจญภัยของพระพุทธเจ้า ตอนปราบช้างตกมัน โดย กาญจนา ฐานวิเศษ 2. ดอกรักสัตว์แสนรู้ โดย กระทรวงศึกษาธิการ 3. ตามรอยไดโนเสาร์ โดย วิริยะ สิริสิงห 4. นิทานร้อยบรรทัด เล่ม 1 ตอนข้าเป็นลูกคุณแม่ด้วยก็ได้ โดย หลวงสำเร็จวรรณกิจ องค์การค้าของคุรุสภา 5. นิทานอีสป โดย พระยาเมธาธิบดี 6. บันทึกสี่เท้าจากหัวใจผู้ไร้บ้านฉบับการ์ตูน โดย ชนประเสริฐ คินทรัตน์ 7. บ้านน้อยในฝัน โดย วรากิจ เพชรน้ำเอก 8. ปลูกป่าใหญ่ให้นกน้อย โดย สนิท บุญฤทธิ์ 9. แมวล้านตัว โดย แวนดา ก๊อก ผู้แปล ชีวัน วิสาสะ 10.ลูกสัตว์ต่าง ๆ โดย กี่ กีรติวิทโยลาร, ขุนสรรคเวทย์ และขุนศึกษากิจพิสัณฑ์ รายชื่อหนังสืออ่านนอกเวลา : ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 - 6 1. นกกางเขน โดย กีรติวิทโยลาร (กี่ กีรติวิทโยลาร) และ อร่าม สิทธิสาริบุตร 2. นิทานร้อยบรรทัด เล่ม 3 ตอน ตื่นแต่เช้า พึ่งเท้า ไม่พึ่งรถ โดย หลวงสำเร็จวรรณกิจ 3. นิทานสุภาษิต โดย สมาชิกสามัคยาจารยสมาคม 4. นิยายดาว โดย สิงโต ปุกหุต 5. ภาพภาษิตไทย โดย กระทรวงศึกษาธิการ 6. เล่นสนุก เล่นแบบไทย โดย ต้อยติ่ง 7. ส้มสีม่วง โดย ดาวกระจาย 8. สีเทาเจ้าตัวจิ๋ว โดย รัศมี เบื่อขุนทด 9. โสนน้อย โดย แม้นมาส ชวลิต 10. หนูหล่อกับมอมอ โดย สมนึก พานิชกิจ รายชื่อหนังสืออ่านนอกเวลา : ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 - 3 1. ขนมแม่เอ๊ย โดย ส.พลายน้อย 2. ขวัญสงฆ์ โดย ชมัยภร แสงกระจ่าง 3. ฃวดฅนอยู่หนใด โดย ชัยกร หาญไฟฟ้า 4. ความสุขของกะทิ โดย งามพรรณ เวชชาชีวะ 5. ช ช้าง กับ ฅ ฅน โดย ศรัณย์ ทองปาน 6. เด็กชายมะลิวัลย์ โดย ประภัสสร เสวิกุล 7. เด็กแนว โดย อาร์ม ตั้งนิรันดร 8. เทพนิยายแอนเดอร์เสน ผู้แปล สมพร วาร์นาโด 9. บ้านเล็กในป่าใหญ่ โดย ลอร่า อิงกัลล์สไวล์เดอร์ ผู้แปล สุคนธรส 10. เรืองแสงอรุณ โดย วรวุฒิ ภักดีบุรุษ 11. เส้นเลือดสีขาว โดย ณิชชารีย์ 12. อัลเฟรด โนเบล โดย สิทธา พินิจภูวดล รายชื่อหนังสืออ่านนอกเวลา : ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 - 6 1. เจ้าน้อยฟอนเติลรอย โดย เบอร์เนต์ ฟรานเซส ฮอดจ์สัน ผู้แปล แก้วคำทิพย์ ไชย 2. ฉากญี่ปุ่น โดย ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช 3. ชีวิตทนง โดย ภาณุมาศ ภูมิถาวร 4. นิทานการเงิน โดย ยังชิน แก้วชัยเจริญกิจ 5. พ่อ: พระยาอนุมานราชธน โดย สมศรี สุกุมลนันทน์ 6. มิตรภาพต่างสายพันธุ์ โดย ม.ล. ปริญญากร วรวรรณ 7. ไม่รู้เลยว่ารัก โดย เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ 8. เรไร ไลลา โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ 9. แว้งที่รัก โดย ชบาบาน 10. สองแขนที่กอดโลก โดย วินทร์ เลียววาริณ 11. เสาหินแห่งกาลเวลา โดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช และคนอื่นๆ 12. หน้าต่างบานแรก โดย กฤษณา อโศกสิน ที่มาจาก http://education.kapook.com/view26790.html

ปฏิทินการคัดเลือกฯ (Admissions กลาง)ประจำปีการศึกษา 2555

ปฏิทินการคัดเลือกฯ (Admissions กลาง)ประจำปีการศึกษา 2555 จำหน่ายหนังสือระเบียบการฯ 4-20 เม.ย 2555 ศูนย์กรุงเทพมหานคร/ศูนย์ภูมิภาค รับสมัคร 11-20 เม.ย 2555 ทาง Website: www.cuas.or.th ชำระเงินค่าสมัคร 11-24 เม.ย 2555 ชำระผ่านธนาคาร หรือ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ไทย ผู้สมัครตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลการสมัคร 12-25 เม.ย 2555 ทาง Website: www.cuas.or.th ยื่นคำร้องขอแก้ไขข้อมูลส่วนตัว 12-27 เม.ย 2555 ทางโทรสารหมายเลข 0-2354-5155-6 ตรวจสอบคะแนนดิบที่ใช้ในการคัดเลือกฯ และรายชื่อนักเรียนที่ถูกตัดสิทธิ์ Admissions กลาง 29-30 เม.ย 2555 ทาง Website: www.cuas.or.th ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์และตรวจร่างกาย 9 พ.ค 2555 ทาง Website: www.cuas.or.th สอบสัมภาษณ์และตรวจร่างกาย 14-16 พ.ค 2555 มหาวิทยาลัย/สถาบันอุดมศึกษาที่สอบได้ ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา 21 พ.ค 2555 ทาง Website: www.cuas.or.th ที่มาจาก http://www.cuas.or.th/calendar.html

วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2555

งานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี

อ้างอิงจากhttp://www.opm.go.th/opminter/contentweb/Bejaratana_Rajasuda/doc/9april_holiday.pdf
8-10 เมษายน 2555 แต่งกายไว้ทุกข์ ลดธงครึ่งเสา 9 เมษายน 2555 เป็นวันหยุดราชการ จังหวัดนครราชสีมาจัดที่ วัดสุทธจินดา อำเภอเมืองจังหวัดนครราชสีมา วันที่ 9 เมษายน 2555 เวลา 15.30 น. ข้าราชการชุดเครื่องแบบเต็มยศไว้ทุกข์ ถวายดอกไม้จันทน์ เวลา 22.00 น. ข้าราชการ ชุดเครื่องแบบปกติขาวไว้ทุกข์ เผาดอกไม้จันทน์ 31 มี.ค.255 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า โดยที่ทรงพระอนุสรณ์ถึง สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ซึ่งสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 27 ก.ค. 2554 ว่าเป็นพระราชธิดาพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวผู้ เป็นสมเด็จพระปิตุลาธิราช และเป็นพระบรมวงศ์ผู้ใหญ่ ผู้เป็นที่เคารพนับถือในหมู่พระบรมวงศานุวงศ์ เมื่อเสด็จสิ้นพระชนม์ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประดิษฐานพระ ศพไว้ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท และทรงบำเพ็ญพระราชกุศลพระราชทานเป็นลำดับมา บัดนี้ ถึงวาระที่ จะได้พระราชทานเพลิงพระศพเป็นอวสานแห่งการพระราชกุศล จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ตั้งการพระราชพิธีขึ้น ทรงพระราชดำริว่า สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอพระองค์นั้น ทรงพระเกียรติคุณ เป็นที่เชิดชูแห่งพระราชวงศ์ อีกทั้งทรงบำเพ็ญพระกรณียกิจเป็นหิตานุหิตประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน นานัปการ ควรได้รับพระเกียรติยศใหญ่ขึ้น โดยอนุโลมตามโบราณราชประเพณี จึง มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เจ้าพนักงานจัดสัปตปฎลเศวตฉัตร กางกั้นพระโกศ พระราชทานเป็นเครื่องเพิ่มเติมพระเกียรติยศให้ปรากฏสืบไป ประกาศ ณ วันที่ 25 มี.ค. 2555 เป็นปีที่ 67 ในรัชกาลปัจจุบัน ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ประกาศสถาปนาพระเกียรติยศ ลงในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 31 มี.ค. 2555 ใน ช่วงเช้าที่ผ่านมา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงร่วมการฝึกซ้อมใหญ่ริ้วขบวนพระอิสริยยศ ในงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ผู้นำเหล่าทัพ และคณะผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการฝึกซ้อม ท่ามกลางประชาชนและนักท่องเที่ยวจำนวนมาก เฝ้าชมริ้วขบวนพระอิสริยยศเต็มสองข้างทาง โดยการฝึกซ้อมเป็นไปอย่างราบรื่นดี นางสุกุมล คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม กล่าวภายหลังซ้อมริ้วขบวนว่า การฝึกซ้อมริ้วขบวนพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ครั้งที่ 3 เป็นไปด้วยความเรียบร้อยดี ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงรับสั่งถึงการซ้อมริ้วขบวนว่า มีความเรียบร้อยดี ส่วนการจัดสร้างพระเมรุนั้น ทรงรับสั่งว่า กรมศิลปากรจัดสร้างพระเมรุทั้งด้านสถาปัตยกรรม และศิลปกรรม ได้สวยงามมาก และทรงห่วงใยเรื่องของการสืบทอดงานสถาปัตยกรรมไทย ที่ พล.อ.ต.อาวุธ เงินชูกลิ่น ในฐานะผู้ออกแบบพระเมรุ ถือเป็นงานฝีมือศิลปกรรมชั้นสูง พระองค์จึงทรงเป็นห่วงอยากให้มีการสืบทอด และอยากจะให้มีผู้ที่เข้ามาศึกษาในเรื่องนี้มากขึ้น ในส่วนของกรมศิลปากร ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า มีภาพพระเมรุ อาคารประกอบพระเมรุ เครื่องประกอบพระเมรุ ที่แสดงถึงภูมิปัญญาของช่างไทยที่เป็นงานฝีมือ ที่เผยแพร่ไปยังสื่อต่างๆ ก็จะทำให้มีนักศึกษา เยาวชนคนรุ่นใหม่สนใจที่จะเข้ามาเรียนรู้ในวิชาแขนงนี้มากขึ้นด้วย นางสุกุมล กล่าวต่อไปว่า สำนักการสังคีต กรมศิลปากร ยังได้กำหนดการฝึกซ้อมการแสดงหนังใหญ่ – โขน เนื่องในงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ณ โรงละครแห่งชาติ โดยในวันที่ 2 เม.ย. เวลา 09.00 น. มีพิธีบูชาครู เวลา 10.00 น. การแสดงหนังใหญ่ชุดเบิกหน้าพระและเบิกโรงจับลิงหัวค่ำ การแสดงโขนชุด สีดาหาย (สูรปะนักขาหึง) การแสดงโขนชุด ปราบพญาขร พญาฑูษณ์ การแสดงโขนชุด ตามกวาง เวลา 13.30 น. การแสดงโขนชุด ระบำวานรพงศ์ การแสดงโขนชุด พิเภษณ์ถูกขับ – สวามิภักดิ์ การแสดงโขนชุด จองถนน การแสดงโขนชุด ศุกะ สารัณ ปลอมพล รมว.วัฒนธรรม กล่าวอีกว่า วันที่ 3 เม.ย.เวลา 09.00 น. การแสดงโขนชุด องคตสื่อสาร การแสดงโขนชุด ศึกนาคบาศ การแสดงโขนชุดระบำอสุรพงศ์ การแสดงโขนชุด ศึกทศกัณฐ์ครั้งแรก ทัพสิบขุนสิบรถ การแสดงโขนชุด พระรามคืนนคร วันที่ 4 เม.ย.เวลา 09.00 น. การแสดงโขนชุด นางลอย (แสดงหน้าพระเมรุ) วันที่ 5-8 เม.ย. เวลา 17.00 น. ซ้อมที่เวทีหนังใหญ่ - โขน (เวทีจริง) ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ซึ่งเมื่อมีการซ้อมทุกครั้ง สำนักการสังคีตจะดูความพร้อมและปรับปรุงแก้ไขให้เกิดความเหมาะสมต่อไป. น.ส.สุธิตา แสนสวาท ประชาชนที่เดินทางมารับชมการซ้อมริ้วขบวน กล่าวว่า เดินทางออกจากบ้านย่านดอนเมืองตั้งแต่เวลา 07.00 น. เพื่อมาเฝ้ารอชมริ้วขบวนพระอิสระยศ และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้เห็นสิ่งสวยงามในรูปแบบงานพระราชพิธีแบบนี้ ซึ่งตนมีความรู้สึกประทับใจที่ได้มาเห็นการซ้อมใหญ่ครั้งนี้ด้วยตัวเอง ขณะ ที่นักท่องเที่ยวชายชาวเยอรมนีรายหนึ่ง กล่าวว่า รู้สึกอัศจรรย์ใจที่ได้เห็นพระราชพิธีอันทรงเกียรติ โดยริ้วขบวนมีความสวยงามอย่างมาก ซึ่งตนก็ได้เก็บภาพเป็นที่ระลึกไว้ด้วย อ้างอิงจาก http://www.dailynews.co.th/royal/19911

จัดสอบ O-NET รอบพิเศษ 10-11 เม.ย.นี้

สทศ.จัดสอบ O-NET รอบพิเศษ ป.6 ม.3 และ ม.6 วันที่ 10-11 เม.ย.นี้ ให้ นร.ที่เกิดเหตุสุดวิสัยไม่ได้มาสอบตามกำหนด เพื่อนำคะแนนไปใช้สอบเข้าเรียนต่อได้ ประกาศผล ป.6 ม.3 วันที่ 28 เม.ย. ส่วน ม.6 ประกาศ 15 เม.ย. ระบุ นร.ต้องสมัครด้วยตนเองหรือส่งใบสมัครทาง EMS พร้อมเสียค่าสมัครสอบชุดละ 100 บาท รศ.ดร.สัมพันธ์ พันธุ์พฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทศ. กล่าวว่า ตามที่ สทศ.ได้ดำเนินการจัดการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน หรือ O-NET ช่วงชั้นที่ 2 (ป.6) สอบวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2555, O-NET ช่วงชั้นที่ 3 (ม.3) สอบวันที่ 28-29 กุมภาพันธ์ 2555 และ O-NET ช่วงชั้นที่ 4 (ม.6) ในวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ 2555 แต่เนื่องจากนักเรียนบางรายเกิดเหตุสุดวิสัยไม่สามารถมาสอบได้ในวันและเวลาดังกล่าว แต่นักเรียนบางรายมีความจำเป็นที่ต้องใช้ผลสอบ O-Net เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในสมัครเข้าศึกษาต่อทั้งระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตามนโยบายของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)ที่จะนำคะแนน O-NET ไปใช้เป็นองค์ประกอบหนึ่งในการคัดเลือกเข้าศึกษาต่ออย่างจริงจัง และเพื่อใช้ในการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา หรือ แอดมิชชั่นส์ อย่างไรก็ตาม ทาง สพฐ.ได้ประสานขอให้ สทศ. พิจารณาจัดสอบ O-NET ป.6, ม.3 และ ม.6 รอบพิเศษเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งครั้งเป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้โอกาสแก่นักเรียน ดังนั้น สทศ.จึงกำหนดให้มีการจัดสอบ O-NET ป.6, ม.3 และ ม.6 รอบพิเศษ สำหรับผู้ที่เกิด เหตุสุดวิสัยในวันสอบ โดยกำหนดต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้ รศ.ดร.สัมพันธ์กล่าวต่อว่า (1. เป็นนักเรียนชั้น ป.6 ที่มีเลขที่นั่งสอบและไม่ได้เข้าสอบในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2555 (2. เป็นนักเรียนชั้น ม.3 ที่มีเลขที่นั่งสอบและไม่ได้เข้าสอบในวันที่ 28-29 กุมภาพันธ์ 2555 (3. เป็นนักเรียนชั้น ม.6 ที่มีเลขที่นั่งสอบและไม่ได้เข้าสอบในวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ 2555 (4. เป็นนักเรียนเทียบเท่าชั้น ป.6 ม.3 และ ม.6 ที่มีเลขที่นั่งสอบและไม่ได้เข้าสอบตามวันและเวลาที่กำหนด และ (5. เป็นนักเรียนชั้น ป.6 หรือ ม.3 ที่โรงเรียนไม่ได้ส่งข้อมูลเข้าสอบ ในกรณีนี้นักเรียนต้องส่งหนังสือรับรองจาก โรงเรียนว่าไม่ได้ส่งรายชื่อเข้าสอบจริง ทั้งนี้ ได้เปิดรับสมัครตั้งวันที่ 30 มีนาคมถึง 3 เมษายนนี้ โดยจะต้องสมัครด้วยตนเองที่ สทศ. หรือหากส่งเอกสารทางไปรศนีย์จะต้องส่งแบบ EMS เท่านั้น และชำระค่าสมัครโดยใช้ตั๋วแลกเงินสั่งจ่าย เสียค่าสมัครสอบชุดละ 100 บาท ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบ วันที่ 6 เมษายนเป็นต้นไป สำหรับวันสอบ O-NET ป.6 และเทียบเท่า วันที่ 10 เมษายน 2555 O-NET ม.3 และเทียบเท่า วันที่ 10-11 เมษายน 2555 O-NET ม.6 และเทียบเท่า วันที่ 10-11 เมษายน 2555 ประกาศผล ป.6 และ ม.3 ประกาศผลสอบวันที่ 28 เมษายน 2555 และ ม.6 ประกาศผลสอบวันที่ 15 เมษายน 2555 ทั้งนี้ สทศ.ได้กำหนดสถานที่สอบ 5 สนาม ได้แก่ โรงเรียนศรีอยุธยาในพระอุปถัมภ์ฯ กรุงเทพฯ โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน จังหวัดขอนแก่น โรงเรียนนารีนุกูล จังหวัดอุบลราชธานี และโรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย จังหวัดสงขลา อ้างอิงจากhttp://www.kruthai.info/view.php?article_id=376

การเปิดและปิดสถานศึกษาปีการศึกษา 2555

กำหนดการเปิดปิดสถานศึกษา 2555
อ้างอิงจาก และดูเอกสารที่ http://210.246.189.115/ewtadmin/ewt/demo_0850/download/%E0%B9%81%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2.pdf

วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2555

ประกาศปฏิญญา "การศึกษาไทยไม่ทอดทิ้งใคร สังคมไทยไม่ทอดทิ้งกัน" ศาสตราจารย์ ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงานประกาศปฏิญญา "การศึกษาไทยไม่ทอดทิ้งใคร สังคมไทยไม่ทอดทิ้งกัน" Inclusive Education, Inclusive Thailand เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕ ณ ตึกสันติไมตรี จัดโดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และพัฒนาคุณภาพเยาวชน (สสค.) และองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) รมว.ศธ.กล่าวว่า ถือเป็นวันสำคัญที่จะได้ร่วมประกาศเจตนารมณ์อันแน่วแน่ เพราะนอกจากประเทศไทยจะเดินหน้าตามปฏิญญาการศึกษาเพื่อปวงประชาทั้งมวล (Education for All) และให้ความสำคัญกับปวงประชาทั้งมวลเพื่อการศึกษา (All for Education) แล้ว ยังมีความเชื่อมั่นว่าถ้าทุกคน ทุกหมู่เหล่า ทุกองค์กร ร่วมกันพัฒนาสร้างโอกาสทางการศึกษาเพื่อคนทั้งมวล เด็กและประชาชนทุกคนในประเทศไทย จะได้รับการพัฒนาอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง การศึกษาเพื่อปวงประชาทั้งมวล เป็นข้อตกลงของประเทศสมาชิกองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ซึ่งได้ริเริ่มในประเทศไทย ณ หาดจอมเทียน ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๓๓ โดยทุกประเทศมีความเห็นพ้องกันว่าการศึกษาเป็นสิทธิ์อันพึงมีของประชาคมโลก เพราะการศึกษาจะพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในชุมชนและสังคมโลกอย่างเข้มแข็ง โดยประเทศสมาชิกต้องถือว่าเป็นภารกิจของรัฐบาลต้องดำเนินการให้บรรลุผลสำเร็จภายในปี ๒๕๕๘ นโยบายของรัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการศึกษา และการดำเนินการตามปฏิญญาดังกล่าว รวมทั้งยังมีเจตนารมณ์ที่ยิ่งใหญ่ โดยมุ่งขับเคลื่อนยุทธศาสตร์คนทั้งมวลเพื่อการศึกษาและพัฒนาทั้งวงจร ดังจะเห็นได้จากนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา ที่ได้กล่าวถึงบทบาทของภาคส่วนต่างๆ ที่เข้ามาร่วมพัฒนาการศึกษา รัฐบาลยังได้ประกาศเพื่อเน้นย้ำอย่างชัดเจนอีกครั้งเมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๕ ว่ารัฐบาลจะจัดสรรทรัพยากรที่จำเป็นในด้านงบประมาณ บุคลากร และวิชาการ ที่เพียงพอ เพื่อดำเนินตามนโยบายการศึกษาที่ครอบคลุม และประกันโอกาสอย่างทั่วถึง เท่าเทียม มุ่งพัฒนาเด็กอย่างรอบด้านตามวัย สร้างความเชื่อมั่นและมั่นคงในชีวิตให้เด็กทุกคนนับตั้งแต่ครรภ์มารดาถึงการพัฒนาชีวิตแห่งการเรียนรู้ไปสู่พลังเด็กและเยาวชน ผู้สร้างอนาคตและสังคมไทย นโยบายของรัฐบาลจะช่วยแก้ไขปัญหาปัจจุบันที่เด็กไทยยังไม่สามารถเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาประมาณ ๓ ล้านคน หรือ ๑ ใน ๕ ของประชากรเด็ก เยาวชนไทยทั้งระบบ เด็กเหล่านี้กำลังเผชิญกับปัญหาความยากจน ถูกบังคับใช้แรงงาน อยู่ในพื้นที่ชนบทห่างไกล ไร้สัญชาติ ถูกดำเนินคดีในสถานพินิจและคุ้มครองเด็ก ตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร รวมทั้งพิการ และมีความบกพร่องในการเรียนรู้จุดเริ่มต้นของการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่สำคัญ คือ การดูแล และพัฒนาเด็กตั้งแต่ปฐมวัย ซึ่งจะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกัน และถือเป็นการลงทุนด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตั้งแต่รากฐาน โดยผลการศึกษาวิจัยทั้งในระดับสากล และในประเทศ พบว่าการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตั้งแต่ปฐมวัย จะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เด็กที่ได้รับอาหาร ดูแลสุขภาพที่ดี ในช่วงแรกของชีวิต จะมีทักษะทางกายภาพ และสติปัญญาที่ดีกว่า มีโอกาสเข้าเรียนจนถึงระดับอุดมศึกษาที่สูงกว่า สามารถลดโอกาสการซ้ำชั้นหรือการออกกลางคัน และเป็นกำลังแรงงานที่มีคุณภาพ จึงเป็นการพัฒนาคนที่ยั่งยืน คุ้มค่า และป้องกันปัญหาสังคมในระยะยาว รมว.ศธ.ได้กล่าวขอบคุณ UNICEF ที่ได้ร่วมส่งเสริมสนับสนุน พัฒนาเด็กและเยาวชนตลอด ๕๐ ปีที่ผ่านมา ขอขอบคุณคณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัย สกศ.ที่ได้วิจัยพบว่า การช่วยเร่งรัดพัฒนาเด็กปฐมวัยที่ด้อยโอกาส จะช่วยให้เด็กเหล่านี้สามารถพัฒนาได้ทันเด็กส่วนใหญ่ เพื่อเข้าเรียนในชั้นประถมศึกษาตอนต้น เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เป็นปัญหารากฐาน คณะทำงานส่งเสริมสังคมการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน ที่ริเริ่มนวัตกรรมครูเด็กรายกรณี มีแนวทาง ผู้ใกล้ชิด และชุมชนที่มีส่วนร่วมในการป้องกันและดูแลเด็กเยาวชนกลุ่มเสี่ยง ที่จะกลายเป็นกลุ่มด้อยโอกาสตั้งแต่เยาว์วัย ขอบคุณตัวแทนจากทุกภาคส่วนที่ให้ความสำคัญกับเยาวชนที่มาร่วมในงานวันนี้เพื่อเป็นการยืนยันว่ารัฐบาลและผู้ใหญ่ทุกคน ให้ความสำคัญกับเด็กและเยาวชน เป็นสิ่งยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินการศึกษาเพื่อปวงชน และปวงประชาทั้งมวลเพื่อการศึกษา ให้เกิดขึ้นในประเทศไทยอย่างแท้จริง ประกาศปฏิญญา "การศึกษาไทยไม่ทอดทิ้งใคร สังคมไทยไม่ทอดทิ้งกัน" Inclusive Education, Inclusive Thailand รั ฐ บ า ล จ ะ ดำ เ นิ น ก า ร ใ น เ รื่ อ ง ดั ง ต่ อ ไ ป นี้ ๑. เด็กทุกคนที่เกิดในประเทศไทย จะได้รับการดูแลอย่างดี ทั้งอาหารและการเลี้ยงดูครอบครัว จนถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาจนถึง ๒ ปี ๒. เด็กแรกเกิดจนถึง ๕ ปี ต้องได้รับโอกาสเข้าศูนย์เด็กเล็กและสถานศึกษาขั้นปฐมวัยที่มีคุณภาพ ด้วยงบประมาณของรัฐบาลท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง ๓. เด็กทุกคนที่อยู่ในวัยชั้นประถม สามารถเข้าเรียนในสถานศึกษาที่มีคุณภาพทุกแห่งและได้รับอุปกรณ์การศึกษาที่ทันสมัยอย่างเท่าเทียมกัน ทั้งในส่วนของภาครัฐบาลและภาคเอกชนทั่วกัน อ้่างอิงจาก http://www.moe.go.th/websm/2012/mar/084.html

วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2555

การทำข้อตกลงโรงเรียนมหิศราธิบดีกับวิทยาลัยอาชีวศึกษานครราชสีมา

การลงนามข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่าง โรงเรียนมหิศราธิบดี กับวิทยาลัยอาชีวศึกษานครราชสีมา วันศุกร์ที่ ๙ มีนาคม ๒๕๕๕ เวลา ๐๙.๐๐ น.

วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2555

ศธ.เตรียมจัดงานอนาคตการศึกษาไทย

กระทรวงศึกษาธิการ เตรียมจัดงาน "อนาคตการศึกษาไทย" (Future of Thai Education) ระหว่างวันที่ ๖-๗ มีนาคม ๒๕๕๕ ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี เพื่อแสดงความก้าวหน้าอนาคตทางการศึกษาของไทย ศาสตราจารย์ ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่าในการประชุมกระทรวงศึกษาธิการ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ดร.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบถึงรายละเอียดการจัดงานดังกล่าว โดยมีรายละเอียดเนื้อหาการจัดนิทรรศการความก้าวหน้าอนาคตการศึกษาไทย ใน ๑๑ หัวข้อ ดังนี้๑) คอมพิวเตอร์แท็บเล็ต จะแสดงถึงนโยบายและการบริหารจัดการที่จะแจกให้นักเรียน ป.๑ และ ม.๑ ทุกคน โดยส่วนหนึ่งจะรับบริจาคจากภาคเอกชน รวมทั้งการบรรจุ e-Content ที่ทันสมัยลงในแท็บเล็ต ไม่ใช่เป็นไฟล์ PDF หรือเป็นเพียงสื่อหน้ากระดาษแบนๆ ๒) หนึ่งอำเภอหนึ่งทุน โดยเฉพาะรุ่นที่ ๓ ที่จะมีการให้ความรู้ต่างๆ ก่อนที่จะคัดเลือกนักเรียนให้ไปศึกษาต่อต่างประเทศ ๓๕ ประเทศ จำนวน ๙๒๘ ทุน และทุนส่วนตัว ๔๖๔ คน ๓) กองทุนตั้งตัวได้ จะแสดงถึงนโยบายและขั้นตอนการดำเนินงาน จำนวนนักศึกษาที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไปแล้ว รวมทั้งกลุ่มอาชีพหรือสาขาวิชาที่เป็นความต้องการของประเทศที่รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนเป็นเงินทุนสำหรับนักศึกษาที่ต้องการสร้างธุรกิจส่วนตัว ๔) ก้าวสู่ประชาคมอาเซียนและประชาคมโลก จะเน้นถึงการเปิดเสรีบริการทางการศึกษา บทบาทขององค์กรระหว่างประเทศด้านการศึกษา และบทบาทของโรงเรียนเอกชนนานาชาติ การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ และ ๒๕๕๕ ปีแห่งการพูดภาษาอังกฤษ รวมทั้งการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศ ๕) การปฏิรูปครู ที่ได้ดำเนินการในการสร้างขวัญกำลังใจครู วิทยฐานะครู ใบประกอบวิชาชีพครู ก.พ.๗ แบบใหม่ การแก้ปัญหาหนี้สินครู ความก้าวหน้าครูคืนถิ่น ครูคลังสมอง ครูพันธุ์ใหม่ การปรับปรุงมาตรฐานวิชาชีพครู ๖) ยกระดับการศึกษาของประชาชนให้จบ ม.๖ ซึ่งจะเสนอถึงแนวทางการดำเนินงานการจัดการเรียนการสอนการศึกษานอกระบบ เพื่อต้องการให้ประชาชนอายุ ๑๘ ปีขึ้นไป สามารถเทียบโอนความรู้ประสบการณ์อาชีพให้สามารถจบ ม.๖ อย่างมีคุณภาพได้ภายใน ๘ เดือน ๗) คุณภาพการศึกษา ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของ ศธ.ในการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพสำหรับเยาวชนทุกคน ทั้งโรงเรียนคุณภาพต้นแบบ และการแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก การจัดกลุ่มสถานศึกษา การสอนวิทย์/คณิต/เทคโนโลยี การสอบ O-Net การส่งเสริมการอ่าน ปฏิรูปหลักสูตร การเทียบโอนวุฒิการศึกษา เป็นต้น ๘) โทรทัศน์และสื่อเพื่อการศึกษา แสดงถึงเทคโนโลยีความก้าวหน้าในการดำเนินงานของ ETV, Teachers Channel และ R-radio ๙) ศักยภาพการศึกษาไทย ยุทธศาสตร์การพัฒนาการศึกษา และปฏิทินชีวิต ซึ่งจะแสดงถึงทิศทางการศึกษา ความร่วมมือ การบูรณาการ การกระจายโอกาสทางการศึกษา การแก้ไขปัญหายาเสพติด กิจการลูกเสือ ข้อมูล วิจัย บทวิเคราะห์ ยุทธศาสตร์การพัฒนาการศึกษาของ ศธ. รวมทั้งเรื่องปฏิทินชีวิต ซึ่งแสดงถึงกิจกรรมในแต่ละช่วงชีวิตของคน ๑๐) การศึกษาเพื่ออาชีพและหลักสูตรเฉพาะทาง ที่เน้นถึงหลักสูตรเพื่อการมีงานทำ รวมทั้ง ๗ กลุ่มวิชาสู่ ๕ กลุ่มอาชีพ ตลอดจนหลักสูตรเฉพาะทาง ๑๑) การประชุมสัมมนาวิชาการ โดยมีกิจกรรมการประชุมสัมมนาอภิปรายตลอดระยะเวลาการจัดงาน อ้างอิงจาก http://www.moe.go.th/websm/2012/feb/063.html

วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ขอแสดงความยินดีและขอต้อนรับ ท่านผู้อำนวยการสำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติการ นายไกร เกษทัน

ขอแสดงความยินดีกับท่านผู้อำนวยการสำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติการ นายไกร เกษทัน เข้ารับตำแหน่งใหม่ในวันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555
อ้างอิงจาก http://202.143.174.11/personnel/index.php?option=com_content&view=article&id=161:-28-2555&catid=13:2011-08-11-05-13-55

แสดงความยินดีกับท่านรองเลขาธิการ นายกมล ศิริบรรณ เข้ารับตำแหน่งใหม่ ณ สำนักงาน ก ค ศ 24 กุมภาพันธ์ 2555

แสดงความยินดีกับท่านรองเลขาธิการ นายกมล ศิริบรรณ เข้ารับตำแหน่งใหม่ ณ สำนักงาน ก ค ศ 24 กุมภาพันธ์ 2555
ท่านรองเลขาธิการ นายกมล ศิริบรรณ เข้ารับตำแหน่งใหม่ ณ สำนักงาน ก ค ศ 27 กุมภาพันธ์ 2555 แ้างอิงจาก http://202.143.174.11/personnel/index.php?option=com_content&view=article&id=160:-23-2555&catid=41:-slid

วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ทปอ.มีมติเห็นชอบปรับค่าน้ำหนักขององค์ประกอบกลุ่มสาขาวิชาในการแอดมิชชั่น ปีการศึกษา 2556 ในบางสาขา

ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะประธาน ทปอ. กล่าวภายหลังประชุม ว่า ทปอ.มีมติเห็นชอบปรับค่าน้ำหนักขององค์ประกอบกลุ่มสาขาวิชาในการแอดมิชชั่น ปีการศึกษา 2556 ในบางสาขา -กลุ่มที่ 1 วิทยาศาสตร์สุขภาพ ที่ปรับ คือ สัตวแพทยศาสตร์ สหเวชศาสตร์ สาธารณสุขศาสตร์ เทคนิคการแพทย์ วิทยาศาสตร์การกีฬา คะแนนเฉลี่ยสะสมตลอดหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลายหรือ GPAX 20% คะแนนทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน หรือ O-NET 30% คะแนนการทดสอบความถนัดทั่วไปหรือ GAT 20% และคะแนนการทดสอบความถนัดทางวิทยาศาสตร์ PAT2 30% เภสัชศาสตร์ GPAX 20% , O-NET 30% ,GAT 10% และPAT2 40% -กลุ่มที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพและชีวภาพ ปรับสาขา วิทยาศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติ GPAX 20% , O-NET 30%, GAT 10% และPAT1 ความถนัดทางคณิตศาสตร์ 10% และPAT2 30% สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ GPAX 20%, O-NET 30%, GAT 10%, PAT1 20% และ PAT2 20% -กลุ่มที่ 5 เกษตรศาสตร์ ปรับสาขา เกษตรศาสตร์ อุตสาหกรรมการเกษตร วนศาสตร์ เทคโนโลยีการเกษตร GPAX 20% O-NET 30% GAT 10% และPAT1 10% และPAT2 30% -กลุ่มที่ 7 ครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ พลศึกษา สุขภาพ รูปแบบที่ 1 GPAX 20%, O-NET 30% ,GAT 10% และPAT5 30% รูปแบบที่ 2 GPAX 20% , O-NET 30% ,GAT 10% และ PAT5 20% และต้องเลือกสอบ PAT 1/2/3/4/6/7 วิชาใดก็ได้ 1 วิชา -กลุ่มที่ 8 ศิลปกรรมศาสตร์ ปรับ สาขา วิจิตรศิลป์ ศิลปประยุกต์ ดุริยางศิลป์ นาฎศิลป์ ศิลปะการออกแบบพัสตราภรณ์ และศิลปะการออกแบบหัตถอุตสาหกรรม GPAX 20% , O-NET 30%, GAT 10% และเลือกสอบ PAT4 หรือ 6 เพียง 1 วิชา 40% -กลุ่มที่ 9 มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขา นิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์ อักษรศาสตร์ ศิลปะศาสตร์ มนุษยศาสตร์ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ สังคมวิทยา สังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ปรับพื้นฐานวิทยาศาสตร์ GPAX 20%, O-NET 30%, GAT 30% และ PAT1 20% พื้นฐานศิลปศาสตร์ รูปแบบที่ 1 ไม่มีการปรับเปลี่ยน รูปแบบที่ 2 GPAX 20% ,O-NET 30% ,GAT 30% และ PAT7 20% ทั้งนี้ ค่าน้ำหนักองค์ประกอบที่ปรับครั้งนี้จะใช้ในการแอดมิชชั่นปีการศึกษา ๒๕๕๖ โดยการปรับดังกล่าว เพื่อให้คณะสามารถคัดเลือดเด็กได้ตรงตามความถนัดที่แท้จริง และถือว่าเป็นการปรับเล็ก ไม่ใช่การปรับใหญ่ดังนั้น ทปอ. ไม่จำเป็นต้องประกาศให้ทราบล่วงหน้า ๓ ปี ส่วนการปรับองค์ประกอบแอดมิสชั่นใหญ่นั้น ทปอ.ยังไม่ได้หารือ ส่วนตัวเห็นว่าไม่ควรปรับบ่อยเพราะจะทำให้เกิดความสับสนและไม่เป็นธรรมแก่เด็ก แต่หากใช้ไปสักระยะแต่พบว่าเกิดปัญหาก็ค่อยปรับปรุงให้ดีขึ้นต่อไป ส่วนกรณีที่ รมว.ศธ. ระบุว่าต้องการให้มหาวิทยาลัยดูแลตัวเอง โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยที่ออกนอกระบบไปแล้ว ก็ไปปรับค่าบริการต่างๆ และใช้งบรายได้ของมหาวิทยาลัยเป็นค่าใช้จ่ายนั้น ขณะนี้มหาวิทยาลัยก็พึ่งตนเองเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว แต่ประเด็นที่ต้องการให้มหาวิทยาลัยไประดมทุนจากศิษย์เก่า ส่วนตัวคิดว่าไม่น่าจะหมายความถึงการขึ้นค่าหน่วยกิต แต่การขึ้นค่าหน่วยกิตก็มีความจำเป็น เพราะบางแห่งค่าหน่วยกิตเพียง ๓๐๐ บาท แต่ปัจจุบันต้นทุนการผลิตนักศึกษาแต่ละคนอยู่ที่ ๘๐๐-๑,๐๐๐ บาทต่อหน่วยกิต ดังนั้นหากมหาวิทยาลัยบางแห่งที่ยังมีรายได้ไม่เพียงพอ การขึ้นค่าหน่วยกิตก็เป็นสิ่งจำเป็น อ้างอิงจาก http://www.moe-news.net/index.php?option=com_content&task=view&id=2642&Itemid=2&preview=popup

วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ผลการจัด อันดับ Top 100 โรงเรียนที่เก่งที่สุดในประเทศไทย ประจำปี 2553

ผลการจัด อันดับ Top 100 โรงเรียนที่เก่งที่สุดในประเทศไทย ประจำปี 2553 โดยอันดับนี้พิจารณาจากสถิติต่างๆทางด้านวิชาการเหล่านี้: โอลิมปิกวิชาการ, คะแนน O-net, จำนวนนักเรียนติดโควตา, จำนวนนักเรียนติดรับตรง, จำนวนนักเรียนติด admission, แพทย์, กสพท, ทุนรัฐบาล, ทุนกพ., ทุนพสวท., และอื่นๆ ย้อนหลังจากสามปี ตั้งแต่ 2551-2553 พี่ก็ขอแสดงความยินดีกับน้องๆที่อยู่ในโรงเรียนที่ติดอันดับด้วยนะครับ ขอให้ขยันๆทำคะแนนได้ดีๆ สอบติดได้หลายๆที่ เพื่อเลื่อนอันดับโรงเรียนตัวเองขึ้นเรื่อยๆนะครับ ส่วนโรงเรียนของน้องที่ไม่ได้ติดอันดับปีนี้ ก็อย่าน้อยใจไป ตัวเราเองพยายามสอบตามข้างบน ให้ได้คะแนนเยอะๆ ให้ติดตรงเยอะๆ เดี๋ยวเราก็เป็นอีโร่ของโรงเรียนช่วยดึงคะแนนโรงเรียนขึ้นมาเองครับ Top 100 โรงเรียนที่เก่งที่สุดในไทย ปี 2553 1. โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ( +2) 2. โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา (-1) 3. โรงเรียนบดิทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ( +1) 4. โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย (-2) 5. โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย จ.สงขลา (+2) 6. โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย (-1) 7. โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย จ.ลำปาง (-1) 8. โรงเรียนสตรีวิทยา (+5) 9. โรง เรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย จ.เชียงใหม่ (+1) 10.โรงเรียนเซนต์คาเบรียล (+1) 11.โรงเรียน อุดรพิทยานุกูล จ.อุดรธานี 12.โรงเรียนอัสสัมชัญ 13.โรงเรียนสาธิต มศว.ปทุมวัน 14.โรงเรียน สาธิต ม.เชียงใหม่ 15.โรงเรียน เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ 16. โรงเรียน สาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 17.โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จ.เชียงใหม่ 18.โรงเรียน เบญจมราชูทิศ จ.นครศรีธรรมราช 19.โรงเรียน ยุพราชวิทยาลัย จ.เชียงใหม่ 20.โรงเรียน เทพศิรินทร์ 21.โรงเรียน สามัคคีวิทยาคม จ.เชียงราย 22.โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช จ.อุบลราชธานี 23.โรงเรียน นครสรรค์ 24.โรงเรียนพิบูลวิทยาลัย จ.ลพบุรี 25.โรงเรียนสตรี วิทยา 2 26.โรงเรียน สาธิต ม.ขอนแก่น 27.โรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย จ.ตรัง 28.โรงเรียน ขอนแก่นวิทยายน จ.ขอนแก่น 29. โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 30.โรง เรียนพิริยาลัย จ.แพร่ 31.โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว 32.โรงเรียน สุราษฎร์ธานี 33.โรงเรียนพรหมานุสรณ์ จ.เพรชบุรี 34.โรงเรียน ภูเก็ตวิทยาลัย 35.โรงเรียน โยธินบูรณะ 36.โรงเรียน สาธิต ม.สงขลานครินทร์ จ.ปัตตานี 37.โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย 38.โรงเรียน สวนกุหลาบ วิทยาลัย จ.นนทบุรี 39.โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.ราชบุรี 40.โรงเรียน หอวัง 41.โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย จ.ขอนแก่น 42.โรงเรียนอัสสัมชัญ สมุทรปราการ 43. โรงเรียนจักรคำคณาทร จ.ลำพูน 44.โรงเรียนสุราษฎร์ พิทยา 45. โรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ 46.โรง เรียนสุรนารีวิทยา จ.นครราชสีมา 47.โรงเรียนคณะราษฎรบำรุง จ.ยะลา 48.โรงเรียน ศึกษานารี 49.โรงเรียนเฉลิมขวัญสตรี จ.พิษณุโลก 50.โรงเรียนสาธิต มศว.ประสานมิตร 51.โรงเรียนสตรีศรีน่าน จ.น่าน 52.โรงเรียนร้อยเอ็ด วิทยาลัย จ.ร้อยเอ็ด 53.โรงเรียนนารี รัตน์ จ.แพร่ 54.โรงเรียน สิรินธร จ.สุรินทร์ 55.โรงเรียนมหาวชิราวุธ จ.สงขลา 56.โรงเรียน บุรีรัมย์พิทยาคม จ.บุรีรัมย์ 57.โรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย จ.สตูล 58.โรงเรียน บดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี 2 ) 59.โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย 60.โรงเรียน ดาราวิทยาลัย จ.เชียงใหม่ 61.โรงเรียนลำปางกัลยาณี จ.ลำปาง 62.โรงเรียน สระบุรีวิทยาคม 63.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า 64.โรงเรียน ระยองวิทยาคม 65.โรงเรียน ชลราษฎร์อำรุง 66.โรงเรียน พัทลุง 67.โรงเรียน พิษณุโลกวิทยาคม 68.โรงเรียน เซนต์โยแซฟคอนแวนต์ 69.โรงเรียนบูรณะ รำลึก จ.ตรัง 70.โรงเรียน สุรศักดิ์มนตรี 71.โรงเรียน กำแพงเพชรพิทยาคม 72.โรงเรียนทวีธาภิเศก 73.โรงเรียนสาธิต ม.ราชภัฎนครปฐม 74.โรงเรียนจุฬา ภรณ์ราชวิทยาลัย จ.มุกดาหาร 75.โรงเรียน มารี ย์วิทยา จ.นครราชสีมา 76.โรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล 77.โรงเรียน สารคามวิทยาคม จ.มหาสารคาม 78.โรงเรียน สายน้ำผึ้ง 79.โรงเรียน เบญจมราชาลัย 80.โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย 81.โรงเรียนทวีธาภิเศก 82.โรงเรียน กัลยาณีศรีธรรมราช จ.นครศรีรรมราช 83.โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.จันทบุรี 84.โรงเรียน สตรีวัดมหาพฤฒาราม 85.โรงเรียนชลกันยานุกูล โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย 86.โรงเรียน เบญจมราชรังสฤษฎิ์ 87.โรงเรียนสาธิต ม.ราชภัฎพระนครศรีอยุธยา 88.โรงเรียน เบญจมเทพอุทิศ จ.เพชรบุรี 89.โรงเรียน วิสุทธังษี จ.กาญจนบุรี 90.โรงเรียน นวมินทราชูทิศ หอวัง นนทบุรี 91.โรงเรียนสุรวิทยาคาร จ.สุรินทร์ 92.โรงเรียนสตรีราชินูทิศ จ.อุดรธานี 93.โรงเรียน เตรียมอุดมศึกษาภาคใต้ จ.นครศรีธรรมราช 94.โรงเรียนศรียาภัย จ.ชุมพร 95.โรงเรียน สาธิต(พิบูลบำเพ็ญ) ม.บูรพา 96.โรงเรียนสตรีสมุทรปราการ 97.โรง เรียนอัสสัมชัญธนบุรี 98.โรงเรียนวัดสุทธิวราราม 99.โรงเรียนสวน กุหลาบวิทยาลัย รังสิต 100.โรงเรียนศรีสะเกษวิทยาลัย อ้างอิงจาก http://www.dektalent.com/board/view.php?topic=123

วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ประชุม ๗ องค์กรในกำกับ

ผู้บริหารองค์การมหาชนและองค์กรในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ ๗ หน่วยงาน ประชุมรับนโยบายของศาสตราจารย์ ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ที่ห้องประชุมราชวัลลภ ชั้น ๒ กระทรวงศึกษาธิการ รมว.ศธ. กล่าวให้นโยบายการทำงานว่า "ศธ.จะดูแลลูกหลานประชาชนเหมือนลูกหลานของเรา จะไม่โกงลูกหลานของเรา และไม่เอาเปรียบครูบาอาจารย์ซึ่งเปรียบเสมือนพี่น้องของเรา จะไม่บังคับขู่เข็ญครูบาอาจารย์ไปเข้าแถวต้อนรับผู้ใหญ่ที่สนามบิน จะไม่ให้ครูบาอาจารย์ซึ่งถือเป็นน้องชายน้องสาวของเรา ต้องเสียเงินทองจากการย้าย เลื่อนขั้นเงินเดือน เลื่อนวิทยฐานะ โดยเราจะเอานักเรียนเป็นตัวตั้ง ให้สมองสามารถ Fly ได้ ซึ่งจะต้องเปลี่ยนจากกรอบคิดจากการควบคุม เป็นกรอบคิดแบบให้โอกาส ให้สามารถเจริญเติบโต ทำงานได้ตามความใฝ่ฝัน บนความยุติธรรม" หลังจากนั้น ดร.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัด ศธ. ได้แนะนำประธานและผู้บริหารองค์กรหลักในกำกับ พร้อมสรุปภารกิจบทบาทหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน ซึ่ง รมว.ศธ.ได้ให้ข้อคิดเห็นและแนวทางการดำเนินงานตามนโยบาย ศธ. ตามลำดับ ดังนี้ ๑. สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา (Secretariat office of The Teacher Council of Thailand : KSP)
ประธานคณะกรรมการ : ดร.ดิเรก พรสีมา เลขาธิการ สลค. : ดร.องค์กร อมรสิรินันท์ ฝากพิจารณาถึงระบบปิดในการผลิตครู ไม่ให้ผลิตจนล้น ตามข้อเสนอของ ศ.สมหวังฯ ฝากพิจารณาถึงเกณฑ์การออกใบประกอบวิชาชีพครูสอนภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะครูจีน ๕,๐๐๐ คน จะมีการสรรหาคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคุรุสภาเร็วๆ นี้ ต้องการคณะกรรมการปลอดจากการเมือง และมีคุณธรรม ไม่นำช่องว่างไปหากินกับครู ๒. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (The Institute for Promotion of Teaching Science and Technology : IPST)
ประธานคณะกรรมการ : รศ.ดร.ธัชชัย สุมิตร ผู้อำนวยการ สสวท. : ดร.พรพรรณ ไวทยางกูร ยินดีจะสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม เพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี เพราะเป็นหน่วยงานที่เป็นความหวังของประเทศในการเรียนรู้ด้านดังกล่าว ฝากให้มีการประสานการทำงานกับ สพฐ.อย่างใกล้ชิด งานรองรับผู้สำเร็จการศึกษา เด็กที่เก่งจบมาจากทุนการศึกษาโอลิมปิกวิชาการ ไม่ควรถูกจำกัดต้องมาทำงานเพียงเพื่อชดใช้ทุน อาจแก้กฎระเบียบให้เด็กทำงานอื่นตามที่ต้องการได้ หรือหากจะทำงานชดใช้ทุนราชการ อาจเพิ่มเงินเดือนให้มากขึ้น เพื่อเหมาะสมกับเด็กที่มีความเป็นเลิศ มาตรฐานวิชาชีพครูสาขาวิทยาศาสตร์/คณิตศาสตร์/เทคโนโลยี ให้ประสานกับคุรุสภา เพื่อแก้ไขมาตรฐานวิชาชีพครูในสาขาดังกล่าว ต้องการให้คนเก่งๆ ทางด้านนี้ เข้ามาเป็นครูได้มากขึ้น สื่อดิจิตอลและคลังทรัพย์สินทางปัญญา ต้องการให้มีการพัฒนาสื่อชนิดนี้ไว้บน Server ทำให้นักเรียนสามารถดาวน์โหลดใช้ได้ ฝาก สสวท. พิจารณา ๓. รร.มหิดลวิทยานุสรณ์ (Mahidol Wittayanusorn School (Public Organization) : MWITS)
ประธานคณะกรรมการ : ศ.ดร.คุณหญิงสุชาดา กีระนันทน์ ผอ.รร. มหิดลฯ : ผศ.ดร.ยุวดี นาคะผดุงรัตน์ ขอให้ รร.เชื่อมโยงการทำงานกับ สวทช.มากขึ้น และฝากถึงการตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆ จากภาคการศึกษา ควรปลอดจากการเมือง เพื่อให้การวางแผนและจัดการศึกษาเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ๔. สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (National Institute of Educational Testing Service (Public Organization) : NIETS)
ประธานคณะกรรมการ : ศ.ดร.สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ ผู้อำนวยการ สทศ. : รศ.ดร.สัมพันธ์ พันธุ์พฤกษ์ ต้องการให้ปรับปรุงการสอบ O-Net ให้เด็กสอบได้ปีละหลายครั้งเช่นเดียวกับ TOEFL ควรเน้นการวิเคราะห์มากกว่าการท่องจำ และเด็กสามารถตรวจสอบคะแนนผลการสอบเองได้ทันทีจากคอมพิวเตอร์ การสอบ O-Net ในชั้น ป.๖ และ ม.๓ หากไม่จำเป็นสำหรับเด็ก ไม่ควรจัดสอบ เพราะเด็กไม่สนใจจะสอบ ทำให้ค่าเฉลี่ยการสอบต่ำมาก การทดสอบกลางระดับประเทศ โดยใช้ผลสอบ O-Net เพื่อจบการศึกษา ป.๖ และ ม.๓ ทางประธานคณะกรรมการ สทศ.จะรวบรวมสรุปข้อมูลและรายงานให้ทราบ ให้มีคลังข้อสอบกลางมากขึ้น เพื่อแจกให้เด็กไปฝึกทำข้อสอบได้เอง ๕. สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) (International for Trade and Development (Public Organization) : TTD)
ประธานคณะกรรมการ : ปลัด ศธ. ผอ.สคพ. : นายสันติ สาทิพย์วงษ์ รอง ผอ.รักษาการ โครงสร้างการทำงานของ ITD หากสังกัดกระทรวงการต่างประเทศหรือกระทรวงการคลัง อาจจะชัดเจนกว่า หาก ITD ต้องการปรับเปลี่ยนโครงสร้า้ง อาจขอให้เสนอให้รัฐบาลพิจารณาได้ ๖. สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ (National Scout Organization of Thailand : NSOT)
ประธานคณะกรรมการ : รมว.ศธ. เลขาธิการ สลช. : ดร.นิวัตร นาคะเวช จะนัดประชุมคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติในวันที่ ๒๓ ก.พ.นี้ เพื่อพิจารณาการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลอง ๑๐๐ ปี การลูกเสือไทย ซึ่ง ร.๙ เป็น “ประมุขของลูกเสือแห่งชาติ” สำนักงานลูกเสือโลก ที่เจนีวา ประสงค์จะย้ายมาตั้งสำนักงานใหญ่และทันสมัยที่ไทย ลูกเสือหลายประเทศไม่บังคับ ส่วนลูกเสือไทยมีข้อบังคับ ทำให้มีสมาชิกลูกเสือมาก ส่งผลถึงงบประมาณรายหัวที่ต้องส่งเงินอุดหนุนกิจการลูกเสือโลก ๗. สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (Office of Welfare Promotion Commission for Teachers and Education Personal : OTEP)
ประธานคณะกรรมการ : ปลัด ศธ. เลขาธิการ สกสค. : นายเกษม กลั่นยิ่ง สื่อดิจิตอล ต้องการให้มีการพัฒนาสื่อชนิดนี้ไว้บน Server ทำให้นักเรียนสามารถดาวน์โหลดใช้ได้ แม้จะส่งผลกระทบกับองค์การค้าของ สกสค. ในการผลิตหนังสือเรียนขาย สิ่งที่คงอยู่ หากไม่จำเป็น ต้องลดขนาดลงเรื่อยๆ เพื่อความสมดุล อ้างอิงบทความและรูปภาพจากจาก http://www.moe.go.th/websm/2012/feb/048.html

เงินบริจาคเพื่อการศึกษา

๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ - ศาสตราจารย์ ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงแนวทางการบริจาคเงินเพื่อการศึกษาให้กับโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ รมว.ศธ.กล่าวว่า การบริจาคเงินให้กับโรงเรียน ไม่ได้ทำเพื่อแลกกับที่นั่งเรียน เพราะเมื่อเกิดการแลก ก็จะเรียกว่าการคอรัปชัน แต่การที่ผู้มีอุปการคุณ ผู้ปกครอง หรือประชาชนทั่วไปต้องการบริจาคเงินให้กับโรงเรียน ก็สามารถทำได้ เช่น ผู้ปกครองบางคนที่ลูกสามารถเข้าเรียนได้แล้ว ก็ยังยินดีที่จะบริจาคให้กับโรงเรียน หรือประชาชนทั่วไปที่ลูกไม่ได้อยู่ในวัยเรียนแล้ว ก็สามารถบริจาคได้เช่นกัน การบริจาคเงินให้โรงเรียนสามารถทำได้โดยไม่ได้เชื่อมโยงกับการรับนักเรียนแต่อย่างใด ซึ่งในความเป็นจริงโรงเรียนอยู่ได้ด้วยเงินบริจาค อีกทั้งการบริจาคให้กับโรงเรียนยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ถึง ๒ เท่าของยอดเงินบริจาคอีกด้วย ทั้งนี้ การบริจาคจะอยู่ในดุลยพินิจของโรงเรียนและต้องอยู่ภายในขอบเขตของกฎหมาย แม้จะมีการบริจาค เด็กก็ต้องเข้าสู่กระบวนการสอบแข่งขันเหมือนนักเรียนทั่วไป ซึ่งมีระเบียบของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กำหนดเรื่องนี้ไว้แล้ว โดยจะจัดที่ให้กับนักเรียนกลุ่มนี้ต่างหาก ไม่ให้กระทบกับจำนวนรับนักเรียนทั่วไป อย่างไรก็ตามถ้าเด็กที่จะเข้ามาเรียนขาดคุณสมบัติในหลายด้าน โรงเรียนจะไม่ขอรับการบริจาคก็ได้ ส่วนกรณีที่ประธานชมรมค่านิยมเพื่อสร้างชาติ มีหนังสือถึง รมว.ศธ.ให้ยกเลิกนโยบายการบริจาคเงินเพื่อแลกกับการเข้าเรียนภายใน ๓ วัน หากไม่มีการยกเลิกจะไปยื่นฟ้องต่อศาลปกครองในสัปดาห์หน้า รวมทั้งจะไปร้องเรียนที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ด้วยนั้น รมว.ศธ.กล่าวว่า ก็จะไปเรียนต่อศาล ซึ่งก็แล้วแต่ศาลว่าจะสั่งอย่างไร และมีความมั่นใจว่านโยบายการบริจาคเงินเพื่อการศึกษาไม่ผิดต่อกฎหมาย รวมทั้งระเบียบในเรื่องนี้ก็มีอยู่ชัดเจน และในวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ก็จะเดินทางไปตอบกระทู้ถามสดของฝ่ายค้านในเรื่องนี้ด้วย อ้างอิงจาก http://www.moe.go.th/websm/2012/feb/050.html

ก.ค.ศ. จัดประชุมทางไกล ชี้แจง ก.พ. 7 อิเล็กทรอนิกส์ เขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ

ก.ค.ศ. จัดประชุมทางไกล ชี้แจง ก.พ. 7 อิเล็กทรอนิกส์ เขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ นางศิริพร กิจเกื้อกูล เลขาธิการ ก.ค.ศ. เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงาน ก.ค.ศ. ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลง ความร่วมมือกับ สพฐ. โดยมีเป้าหมายเพื่อร่วมกันผลักดันให้ทุกเขตพื้นที่การศึกษาใช้งานระบบสนับสนุนการบริหารงานบุคคลอย่างเต็มรูปแบบ เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ นั้น ขณะนี้สำนักงาน ก.ค.ศ. ได้จัดทำระบบข้อมูลทะเบียนประวัติอิเล็กทรอนิกส์ หรือ CMSS (Competency Management Supporting System) ซึ่งเป็นระบบหนึ่งใน 14 ระบบ โดยได้จัดเก็บประวัติการรับราชการของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการทั้งประเทศแล้วกว่า ๕๐๐,๐๐๐ คน และในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา สำนักงาน ก.ค.ศ. ได้ใช้ข้อมูลดังกล่าวไปใช้วางแผนเชิงนโยบายต่าง ๆ ในระดับมหภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่ว่าจะเป็นนโยบายครูคืนถิ่น นโยบายการปรับฐานเงินเดือน ๑๕,๐๐๐ บาท รวมทั้งการที่จะเสนอเลื่อนอันดับเงินเดือนจาก คศ.๒ ให้ได้รับอันดับเงินเดือน คศ.๓ และสำหรับในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ นี้สำนักงาน ก.ค.ศ. ได้กำหนดเป้าหมายที่จะใช้ระบบ CMSS ในการเลื่อนเงินเดือนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสังกัด สพฐ. ซึ่งการใช้ระบบดังกล่าวจะทำให้การเลื่อนเงินเดือนทุกเขตพื้นที่การศึกษา โดยทั้งนี้จะเริ่มใช้ระบบการเลื่อนเงินเดือนรอบเมษายนนี้เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้สำนักงาน ก.ค.ศ. และ สพฐ. เห็นการเคลื่อนตัวของเม็ดเงินที่ใช้ในการเลื่อนเงินเดือนและสามารถออกคำสั่งเลื่อนเงินเดือนผ่านระบบทันทีทั้งของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทั้งประเทศ ทั้งนี้ สำนักงาน ก.ค.ศ. โดยเลขาธิการ ก.ค.ศ. (นางศิริพร กิจเกื้อกูล) และเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จะร่วมกันให้นโยบายเกี่ยวกับการเลื่อนขั้นเงินเดือน โดยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ในรอบแรก (1 เมษายน 2555) โดยจะชี้แจงด้วยวิธีการประชุมทางไกล (Video Conference) ให้แก่เจ้าหน้าที่ในเขตพื้นที่การศึกษาและผู้แทนสถานศึกษา ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา 10.00 – 12.00 น. นี้ และจากการที่สำนักงาน ก.ค.ศ. ได้มีฐานข้อมูลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาดังกล่าวนี้ สำนักงานยังได้กำหนดเป้าหมายที่จะให้บริการอีเซอร์วิสแก่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้สามารถคัดสำเนาทะเบียนประวัติอิเล็กทรอนิกส์ได้ที่หน่วยงานต้นสังกัด โดยข้าราชการครูไม่จำเป็นต้องเดินทางมาขอคัดสำเนาที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานั้น ซึ่งจะได้แจ้งแนวปฏิบัติในโอกาสต่อไป เลขาธิการ ก.ค.ศ. กล่าวต่อไปว่า เพื่อให้ข้อมูลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีความถูกต้อง จึงขอให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเจ้าของทะเบียนประวัติเข้าไปตรวจสอบข้อมูลทะเบียนประวัติของตนเองปีละสองครั้งได้ที่ www.cmss-otcsc.com หากพบข้อผิดพลาดจากการบันทึกข้อมูลหรือข้อมูลที่จดบันทึกในเอกสารทะเบียนประวัติไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เจ้าของทะเบียนประวัติสามารถแจ้งขอแก้ไขข้อมูลในระบบทะเบียนประวัติอิเล็กทรอนิกส์ให้ถูกต้องได้ทันที พร้อมหลักฐาน เพื่อเจ้าหน้าที่เขตพื้นที่การศึกษาจะได้ตรวจสอบเพื่อความถูกต้องต่อไป อ้างอิงจาก http://203.146.15.33/webtcs/modules.php?name=activeshow_mod&file=article&asid=475